การประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 5 ปี เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ คาดว่าการประชุมจะดำเนินต่อไปราว 1 สัปดาห์ และจะมีการเลือกผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ ภายในพรรคด้วย
การประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 จัดขึ้นที่มหาศาลาประชาคมในกรุงปักกิ่งวันนี้ (18 ตุลาคม) โดยมีสมาชิกพรรคเข้าร่วมการประชุมประมาณ 2,300 คน และสื่อหลายสำนักรายงานว่าการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญ เพราะจะมีการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ภายในพรรค รวมถึงการกำหนดทิศทางและนโยบายดำเนินงานของพรรคในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนรัฐบาลจีนต่อไปในอนาคตด้วยเช่นกัน
ตำแหน่งสำคัญที่มีผู้จับตามองมากที่สุด คือ ตำแหน่งเลขาธิการพรรค เพราะผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้คือผู้ที่จะเป็นประธานาธิบดีจีนคนต่อไป ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ได้แก่ คณะกรรมการกรมการเมือง (โปลิตปูโร) รวม 25 ตำแหน่ง และสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์อีก 370 ตำแหน่ง
(นายสีจิ้นผิงประกาศว่าจะนำจีนเข้าสู่ศักราชใหม่แห่งการเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย)
ปัจจุบัน นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค และนักวิเคราะห์ประเมินว่านายสีน่าจะดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปอีกสมัย เพราะเขาเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของจีนหลังจากสิ้นสุดยุคของเหมาเจ๋อตุง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ส่วนกระบวนการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวมักจะเป็นการพิจารณาล่วงหน้าแบบปิดลับในกลุ่มสมาชิกระดับสูง ก่อนที่จะมีการลงมติรับรองอย่างเป็นทางการในการประชุมสมัชชาใหญ่
ในพิธีเปิดการประชุม นายสีได้กล่าวสุนทรพจน์ยาวกว่า 3 ชั่วโมง โดยมีการประกาศความสำเร็จของจีนในการดำเนินนโยบายสังคมนิยมยุคใหม่ ทำให้ประเทศชาติก้าวหน้าและมั่งคั่ง แต่นายสีย้ำเพิ่มเติมว่าจีนกำลังจะมุ่งหน้าสู่ 'ศักราชใหม่' และจะมีการปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นสังคมนิยมสมัยใหม่ โดยพรรคคอมมิวนิสต์จะยังเป็นสถาบันที่เข้มแข็ง แต่ขณะเดียวกันก็จะเปิดกว้างสู่โลกภายนอกมากขึ้น
ส่วนนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะผลักดันต่อไป ได้แก่ การผ่อนผันเงื่อนไขของตลาดในประเทศเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงได้มากขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจภาคบริการ การผลักดันการปฏิรูประบบการคลังและระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา แต่ขณะเดียวกันก็จะสนับสนุนให้กิจการรัฐวิสาหกิจของจีนมีเสถียรภาพ และตั้งเป้าว่าจีนจะต้องบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศมหาอำนาจผู้นำโลกที่เข้มแข็งและทรงอิทธิพลภายในปี 2050
ด้านหอการค้าแห่งสหภาพยุโรปประจำประเทศจีน ออกแถลงการณ์สนับสนุนแนวทางเปิดกว้างสู่ประชาคมโลกที่นายสีกล่าวถึงในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และแสดงความยินดีที่ผู้นำจีนให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อกิจการต่างชาติอย่างเท่าเทียมกับกิจการของรัฐบาลจีน แต่อาจต้องมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนมากกว่านี้จึงจะช่วยให้จีนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้
ขณะที่ เดเมียน หม่า ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนแห่งสถาบันวิชาการพอลสันในสหรัฐฯ ระบุว่าจีนจำเป็นจะต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองด้วย จึงจะสามารถปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้เปิดกว้างรับการลงทุนจากต่างชาติได้อย่างแท้จริง
(หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำการหน้าสถานที่จัดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 19)
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่สื่อต่างประเทศพยายามวิเคราะห์จากสุนทรพจน์ของนายสีจิ้นผิง คือ เนื้อหาตอนหนึ่งที่เขาย้ำว่า "ไม่มีประเทศใดที่จะต่อสู้กับปัญหาใหญ่ระดับโลกได้เพียงลำพัง" ทั้งยังมีการยกตัวอย่างปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งนายสีระบุว่าเป็นเรื่องใหญ่ของมนุษยชาติ และจีนต้องให้ความร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ในฐานะที่จีนเป็นประเทศชั้นนำที่มีความรับผิดชอบ
นักวิเคราะห์ระบุว่า นายสีพยายามย้ำจุดยืนดังกล่าวในสุนทรพจน์ เพื่อชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในสมัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งมีนโยบายชาตินิยมขวาจัดเป็นหลัก โดยนายทรัมมีคำสั่งให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศไปแล้ว 2 ฉบับในเวลาไม่ถึง 1 ปี ได้แก่ ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและภาวะโลกร้อน รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) ทั้งยังขู่ว่าจะถอนตัวจากข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เพิ่มเติมอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: