เจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีไอเอเผย นายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือไม่ได้บ้าอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ แต่เป็นผู้นำที่มีเหตุผลและตัดสินใจเพื่อเป้าหมายระยะยาวของประเทศ
ในงานเสวนาวิชาการที่จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตันของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา นายอียองซอก รองผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ภารกิจเกาหลีของซีไอเอเปิดเผยว่า นายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือไม่ใช่คนบ้า แต่เป็นผู้นำที่มีเหตุผล มีเป้าหมายและแรงจูงใจที่ชัดเจน คือ การดำรงอยู่ของระบอบเกาหลีเหนือในระยะยาว และการที่ตัวเขาจะสามารถจากไปอย่างสงบและสันติบนที่นอนอันอบอุ่นได้
นายอีระบุว่า แท้ที่จริงแล้วนายคิมจองอึนเป็นคนสุดท้ายบนคาบสมุทรเกาหลีที่ต้องการให้เกิดสงครามขึ้น เพราะสงครามจะนำไปสู่ความล่มสลายของระบอบเกาหลีเหนือ แต่สาเหตุที่นายคิมเลือกยุทธศาสตร์การเผชิญหน้าแบบถาวรกับสหรัฐฯ ก็เพื่อรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ เพราะระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือดำรงอยู่ได้ด้วยการสร้างความหวาดกลัวภัยคุกคามจากภายนอกให้แก่ประชาชน ซึ่งทำให้เกาหลีเหนือจำเป็นต้องการรักษาความสัมพันธ์อันตึงเครียดกับสหรัฐฯ เช่นนี้ไปเรื่อยๆ
นายอี และนายไมเคิล คอลลินส์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ภารกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของซีไอเออธิบายว่า นับตั้งแต่ที่นายคิมจองอึน ขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือต่อจากนายคิมจองอิล บิดาของเขาเมื่อปี 2011 นายคิมจองอึนได้ทำการรวมอำนาจทางการเมืองเข้าสู่ตนเองและทำให้เกาหลีเหนือกลายเป็นรัฐนิวเคลียร์ โดยนับตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่อำนาจ นายคิมได้ประหารชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 340 ราย ในจำนวนนี้มี 140 รายที่เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสในรัฐบาล กองทัพ และพรรคแรงงาน นอกจากนี้ ยังมีนายจางซองแต๊ก ลุงของเขา และนายคิมจองนัม พี่ชายต่างมารดาของเขาที่ถูกสังหารด้วย ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ก็เพื่อไม่ให้มีใครกล้าตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับนายคิมนั่นเอง
นายอีและนายคอลลินส์เชื่อว่าในระยะยาว เกาหลีเหนือต้องการมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นในการเจรจาข้อตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯ ถอนทหารออกจากคาบสมุทรเกาหลี และทำให้เกาหลีเหนือกลับมายืนบนเวทีโลกได้อีกครั้ง ส่วนการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ เป็นการทดสอบความอดทนของสหรัฐฯ และประชาคมโลก ซึ่งในแต่ละครั้งที่เกาหลีเหนือเพิ่มความตึงเครียด เกาหลีเหนือก็ได้ขีดเส้นอย่างชัดเจนเพื่อให้สหรัฐฯ และนานาชาติยอมรับหรือยอมถอย
นอกจากนี้ นายอียังระบุว่า การที่นายคิมแสดงท่าทีไม่หวาดกลัวกับคำขู่ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สะท้อนว่า ตอนนี้นายคิมไม่ได้ตกอยู่ในสภาพถูกบีบคั้นด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกจีนทอดทิ้งและถูกสหรัฐฯ โจมตีดังเช่นในอดีต ขณะที่จีนเองก็พอใจกับสถานการณ์เช่นนี้ เพราะจีนเองก็ต้องการให้สหรัฐฯ หงุดหงิดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันจีนแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ มากกว่าเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม นายอีและนายคอลลินส์ได้เตือนว่า ขณะนี้ยังคงมีความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากทั้งสองฝ่าย ที่อาจบานปลายและนำไปสู่การสู้รบและสงครามได้ เนื่องจากขณะนี้ การเผชิญหน้าระหว่างนาวิกโยธินเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และการตัดสินใจผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าได้ นอกจากนี้ หากสหรัฐฯ ทำลายขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ก็อาจถูกเกาหลีเหนือมองว่าเป็นการคุกคามแลทำการตอบโต้ได้
นายอีและนายคอลลินส์เตือนว่า แม้เกาหลีเหนือไม่น่าจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นโจมตีสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ก่อน แต่ก็มีความเสี่ยงที่เกาหลีเหนืออาจทำสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายหากถูกต้อนให้จนมุม
เรียบเรียงโดย: สลิสา ยุกตะนันทน์