การให้สัมภาษณ์ของนายทิลเลอร์สันครั้งนี้เกิดขึ้นหลังมีกระแสข่าวว่า นายทิลเลอร์สันได้เรียกนายทรัมป์ว่า 'ปัญญาอ่อน' ระหว่างการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาวพร้อมรัฐมนตรีหลายคน ซึ่งนายทรัมป์ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้น โดยในการให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี นิวส์ ครั้งนี้นายทิลเลอร์สันได้หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามว่าเขาได้กล่าวเช่นนั้นจริงหรือไม่ แต่กลับระบุว่านายทรัมป์รักประเทศ ทำเพื่อประเทศและชาวอเมริกัน พร้อมชื่นชมว่านายทรัมป์ฉลาดและทำให้คนรอบข้างทำงานอย่างมีความรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม นายทิลเลอร์สันยอมรับว่า เขายังไม่ได้พูดคุยกับนายทรัมป์นับตั้งแต่เกิดกระแสข่าวเรื่องนี้

ภายหลังการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี นิวส์ ของนายทิลเลอร์สัน สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้รายงานเช่นกันว่า นายทิลเลอร์สันเรียกนายทรัมป์ว่า 'ปัญญาอ่อน' และนายทรัมป์รับทราบถึงเรื่องนี้ ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้จัดแถลงข่าวปฏิเสธว่านายทิลเลอร์สันไม่เคยกล่าวว่านายทรัมป์ 'ปัญญาอ่อน' 

ก่อนการให้สัมภาษณ์ของนายทิลเลอร์สันไม่นาน นายทรัมป์ได้ทวีตข้อความระบุว่า 'เอ็นบีซี นิวส์ เป็นสำนักข่าวปลอมและไร้เกียรติยิ่งกว่าสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น พวกเขาทำให้นักข่าวที่ดีต้องเสื่อมเสีย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เรตติงของสถานีลดลงเรื่อยๆ' และระหว่างการให้สัมภาษณ์ของนายทิลเลอร์สัน นายทรัมป์ได้ทวีตข้อความอีกว่าเอ็นบีซี นิวส์ นำเสนอเรื่องราวที่ไม่เป็นจริงเกี่ยวกับนายทิลเลอร์สัน และนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี พร้อมโจมตีว่าเอ็นบีซี นิวส์ เป็นสำนักข่าวปลอม และเรียกร้องให้ขอโทษต่อชาวอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ทวิตเตอร์ของนักข่าวเอ็นบีซี นิวส์คนหนึ่ง ได้รีทวีตข้อความของสเตฟานี รูล์ห ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็มเอสเอ็นบีซีที่ระบุว่า แหล่งข่าวของเธอไม่เพียงแต่เล่าว่านายทิลเลอร์สันเรียกนายทรัมป์ว่าปัญญาอ่อนเท่านั้น แต่นายทิลเลอร์สันได้เรียกนายทรัมป์ว่า 'ปัญญาอ่อนสุดๆ'

เว็บไซต์เดอะ การ์เดียนระบุว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นายทรัมป์ได้ดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลหลายคน รวมทั้งนายเจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และล่าสุด นายทรัมป์ได้ทวีตข้อความในเชิงดูหมิ่นและแสดงความไม่เห็นด้วยต่อนายทิลเลอร์สันหลายครั้งในประเด็นเกาหลีเหนือ ทำให้นักวิเคราะห์ต่างจับตามองว่านายทิลเลอร์สันจะประกาศลาออกจากตำแหน่งหรือไม่

สำนักข่าวเอ็นบีซี นิวส์ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยนาม 3 คน ที่ระบุตรงกันว่า ก่อนหน้านี้ นายทิลเลอร์สันได้ขู่ว่าจะไม่กลับมายังทำเนียบขาวอีก แต่นายเจมส์ แมททิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายจอห์น เคลลี หัวหน้าคณะทำงานของทำเนียบขาว พยายามโน้มน้าวไม่ให้นายทิลเลอร์สันลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเสถียรภาพของประเทศ และเมื่อนายทิลเลอร์สันยังคงไม่ยอมกลับมาที่ทำเนียบขาว นายเพนซ์ ได้เดินทางเข้าพบนายทิลเลอร์สันเพื่อให้คำแนะนำว่า ควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้อยู่กับนายทรัมป์ได้

นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ (ซ้าย) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (กลาง)
และนาย เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (ขวา)

อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี นิวส์ นายทิลเลอร์สันได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ พร้อมระบุว่า นายเพนซ์ไม่เคยโน้มน้าวเขาให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศต่อไป เพราะเขาไม่เคยมีความคิดว่าจะลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่โฆษกประจำตัวของนายทิลเลอร์สัน และโฆษกของนายเพนซ์ต่างออกมาปฏิเสธรายงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี นิวส์ เช่นกัน

เว็บไซต์เดอะ การ์เดียนระบุว่า ก่อนหน้านี้ นายบ็อบ คอร์เกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านกิจการต่างประเทศของวุฒิสภาสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันเคยแสดงความเห็นว่า นายทิลเลอร์สัน นายแมททิส และนายเคลลี คือ บุคคลที่ช่วยให้ไม่เกิดความโกลาหลขึ้นในสหรัฐฯ พร้อมระบุว่า เขายินดีสนับสนุนบุคคลทั้งสามอย่างเต็มที่

ก่อนหน้านี้ นายทิลเลอร์สันเคยยอมรับว่าเขาไม่ต้องการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ แต่ที่รับตำแหน่งเพราะถูกภรรยาโน้มน้าว และเขาไม่เคยพบนายทรัมป์มาก่อน จนกระทั่งถูกเรียกตัวไปพบที่อาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ หลังจากที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ

เรียบเรียงโดย: สลิสา ยุกตะนันทน์