ในสังคมปัจจุบัน ถ้าอยู่ๆจะมีใครลุกขึ้นมากราบ ‘หมา’ มันก็คงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่ถ้าเป็นในสังคมแบบดั้งเดิม (primitive society) นี่ก็ไม่ได้แปลกอะไรนัก โดยเฉพาะสังคมอุษาคเนย์ของเรานี่แหละ
นิทานหลายเรื่องของกลุ่มชนเผ่าอื่นๆ ที่กระจายตัวอยู่ทางตอนใต้ของจีน ทางเหนือของเวียดนาม และลาวเหนือมาจนจรดลาวใต้ อย่างเผ่าตะเรียง และเผ่ากะตู (ซึ่งพูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร) เล่าไว้คล้ายๆ กันว่า เมื่อหลังน้ำท่วมโลก มีเพียงหมาตัวผู้ กับหญิงสาวชาวมนุษย์ ติดเกาะกันอยู่บนยอดเขาสูงสุดลูกหูลูกตา (ก็ขนาดที่น้ำท่วมโลกแล้ว ยังท่วมไม่ถึงก็แล้วกัน) เพียงแค่หนึ่งคน กับอีกหนึ่งตัว
และมองไปข้างบนก็มีแต่ฟ้า แลมาข้างล่างก็เห็นแต่น้ำ มองไปข้างๆ ก็เจอแต่สายตาของกันและกัน ทั้งคู่จึงได้อยู่กินด้วยกันมาจนมีลูกมีหลาน แต่ลูกหลานที่ว่าดันเป็น ‘มนุษย์’ อย่างเดียว แต่ไม่เห็นมีพูดถึงที่เกิดมาเป็นน้องหมานี่สิ
นิทานประหลาดๆ ทำนองนี้พยายามจะบอกกับผู้ฟังว่า ‘หมา’ นี่แหละเป็นบรรพบุรุษของ 'มนุษย์' เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องมนุษย์มีบรรพบุรุษเป็นสัตว์ (หรือสัญลักษณ์ชนิดอื่นๆ) ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วโลก ซึ่งมีศัพท์วิชาการเรียกความเชื่อทำนองนี้ว่า 'ลัทธิโทเทม' (Totemism, มาจากศัพท์ว่า 'dodaem' ในภาษาโอชิปเว ของพวกอเมริกันอินเดียน ที่นักมานุษยวิทยาได้เริ่มศึกษาแนวคิดแบบนี้ และใช้ศัพท์คำที่ว่าเรียกลัทธิการบูชาบรรพบุรุษแบบนี้ทั่วทั้งโลกว่า ลัทธิโทเทม เหมือนกันไปหมด)
ในขณะเดียวกันหมาก็เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เพราะทำให้เกิดผลิตผลคือ ลูกหลาน ซึ่งหมายถึงแรงงาน ทั้งยังผูกโยงกับหลักประกันของผลิตผลต่างๆ (ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรอีกเช่นกันที่ ในนิทานของกลุ่มชนเผ่าต่างๆ ที่ก็พูดภาษาตระกูลไทอีกเหมือนกันหลายๆ กลุ่ม จะเล่าว่า น้องหมานี่แหละครับ ที่แอบไปเอา ‘ข้าว’ ลงมาจากสวรรค์ให้มนุษย์ได้กินกัน จนกระทั่งโดนพญาแถนทำโทษ จากที่เคยมี 9 หาง เหาะเหินไปมาระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ได้ ก็เหลือเพียงแค่หางเดียว และเหาะไปสวรรค์ไม่ได้อีก)
แปลความอีกอย่างได้ว่า ในสังคมดั้งเดิมของชนชาวอุษาคเนย์นั้นจะไม่นับญาติข้างพ่อ (จะให้นับอย่างไร ก็ในเมื่อญาติข้างพ่อเป็นหมาไปเสียฉิบ) ในสังคมแบบนี้จึงมี ‘ผู้หญิง’ เป็นใหญ่ในสังคม
แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไปว่าการที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่ในสังคม ผู้หญิงจะต้องเป็นผู้ไปรบทัพจับศึกอะไรที่ไหนกันนะครับ ผู้หญิงที่เป็นใหญ่ในสังคมแบบนี้จะเป็นผู้ครอบครองความรู้ หรือศาสตร์บางอย่างที่ถูกสงวนไว้ให้เป็นความลับสำหรับผู้เป็นหัวหน้า และสายตระกูล
และ ‘ความรู้’ ที่เป็น ‘ความลับ’ แบบนี้แหละ ที่คือ ‘อำนาจ’
ข้อเข้าใจผิดประการหนึ่งที่พบเห็นได้อยู่เสมอคือในสังคมดั้งเดิมแบบล่าสัตว์-หาของป่า (hunting-gathering society) ภาระหนักจะตกไปอยู่กับกลุ่มชนผู้ล่าสัตว์ ซึ่งโดยเหตุผลทางด้านสรีระแล้ว หน้าที่ดังกล่าวคงจะหนีไม่พ้นต้องเป็นของ ‘ผู้ชาย’
แต่ผู้ชายที่ไหนจะล่าหมีป่า หมูป่า หรือกระจง ละอง ละมั่ง กันได้ทุกวัน? เมนูอาหารอุดมไปด้วยโปรตีนเหล่านี้ไม่ใช่ของที่จะหากันมาได้เป็นประจำจนกระทั่งเริ่มมีการปศุสัตว์อย่างเป็นระบบ มนุษย์ในยุคโบราณจึงพยายามที่จะมีการถนอมอาหารไม่ว่าจะด้วยการ ตากแห้ง ดองให้เค็ม หมักจนเหม็น หรืออีกสารพัดสารพันวิธีการ
หน้าที่ที่ถูกละเลยไปจนกลายเป็นตัวประกอบจึงกลายเป็นบทของ ‘การหาของป่า’ ซึ่งที่จริงแล้วก็จำเป็นต้องใช้ ‘ความรู้’ เป็นอย่างมาก
‘ความรู้’ ที่ว่าไม่ได้ได้มาง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เพราะจำเป็นต้องสั่งสม ‘ประสบการณ์’ กันมาอย่างยาวนาน ประสบการณ์ที่ว่ามีทั้งที่ลองผิดลองถูกมากมายเต็มไปหมด กว่าเราจะรู้ว่าเห็ดชนิดไหนกินได้ กินไม่ได้ ไม่รู้บรรพบุรุษนั่งเมา หรือนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่คนเดียวไปเท่าไหร่? นี่ยังไม่นับที่ดวงตกกินเห็ดพิษตายไปอย่างไม่เคยมีใครจดสถิติไว้
‘ความรู้’ ที่ว่าก็ไม่ได้หมายถึงเฉพาะความรู้ในการเก็บสะสมเสบียงกรังเท่านั้น ยังมีความรู้ในการจัดการบริหารชุมชนอยู่อีก เพียงแต่การจัดการบริหารที่ว่า ไม่ได้เป็นไปอย่างที่มีหลักสูตรเปิดสอนกันให้เกร่ออยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในขณะนี้ แต่เป็นการจัดการบริหารความเชื่อ ซึ่งก็ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ที่ปัจจุบันเราเหมารวมว่าเป็นไสยศาสตร์กันไปหมดนั่นแหละ
หน้าที่ในการติดต่อสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านี้ล้วนแต่เคยเป็นเรื่องเฉพาะของ ‘ผู้หญิง’ มาก่อนทั้งสิ้น ดูง่ายๆ ก็จาก รำผีฟ้า รำแม่สี ที่จะพูดให้ง่ายเข้าก็คือการเข้าทรงประเภทหนึ่ง ก็ล้วนแต่มีคนทรงเป็นผู้หญิงทั้งนั้น
จึงไม่มีอะไรน่าประหลาดใจเลยที่ คำนำหน้าตำแหน่ง หรืออะไรก็ตามที่ยิ่งใหญ่ในภาษาไทยจะขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘แม่’ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น แม่ทัพ แม่น้ำ แม่พิมพ์ ไม่เคยมีคำไหนที่ขึ้นด้วยคำว่า ‘พ่อ’ ซ้ำร้ายกลับเรียกผู้ชายที่แต่งงานว่า ‘เจ้าบ่าว’
ก็ ‘บ่าว’ เดียวกันกับที่แปลว่า ‘คนรับใช้’ นั่นแหละ
จึงไม่น่าประหลาดใจอีกเช่นกันที่ชนเผ่ามูซู และนาซี แถบมณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของจีน (ซึ่งหากจำแนกทางวัฒนธรรมแล้วเป็นชาวอุษาคเนย์ ไม่ใช่พวกจีนฮั่น) ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่าง 'ชาย' และ 'หญิง' ไม่จำเป็นจะต้องผูกมัดด้วยการแต่งงานกัน
เด็กที่เติบโตขึ้นมาในชนเผ่าทั้งสองนี้จะไม่รู้จักว่าใครคือพ่อของพวกเขา บางครั้งแม่ของเด็กเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าใครเป็นพ่อของเด็กคนนั้น เพราะผู้ชายไม่ใช่สิ่งสำคัญในการให้กำเนิด และเลี้ยงดูเด็กๆ 'แม่' ต่างหากล่ะ ที่สามารถให้น้ำนม และเลี้ยงดูเด็กๆ ซึ่งหมายถึง แรงงาน ผลผลิต และความอยู่รอดของเผ่าได้
ในสังคมดั้งเดิมของอุษาคเนย์ ‘ผู้ชาย’ ดูจะมีบทบาททางสังคมน้อยกว่า ‘ผู้หญิง’ อย่างเห็นได้ชัด
และกว่าที่ผู้ชายจะมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่าผู้หญิงจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏอยู่ ก็นู่นแหละเมื่อรับศาสนาพุทธ-พราหมณ์จากชมพูทวีปเข้ามาแล้ว จึงไม่แปลกอะไรเลยที่จะมีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนรับวัฒนธรรมศาสนาจากอินเดีย อายุ 3,000-2,500 ปีมาแล้ว เขียนรูปหมาแสดงเครื่องเพศ อยู่คู่กับภาพผู้หญิงกำลังคลอดบุตร ที่ถ้ำเขาจันทน์งาม (ที่จริงเป็น เพิงผา ไม่ใช่ถ้ำ) อ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา
นิทานอีกเรื่องที่เป็นหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องหมาเป็นบรรพบุรุษ ลัทธิโทเทมในอุษาคเนย์ และการที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ในสังคม อาจจะเห็นได้จากนิทานของชาวไทลื้อเรื่องหนึ่งที่ว่า ครั้งหนึ่งหมารอให้มนุษย์นำอาหารมาให้ แต่หมาต้องรอคอยมานาน เพราะมนุษย์กำลังทำการบ้านอยู่กับเมียของตนเอง หมารอจนทนไม่ไหวจนต้องขึ้นเรือนไปบอกมนุษย์ผู้นั้นว่าให้นำอวัยวะเพศมาแลกกัน เพื่อที่มนุษย์ผู้ชายจะได้มีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น และนำอาหารมาให้กับตนได้เร็วขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หมาจึงใช้เวลามีเพศสัมพันธ์นานกว่ามนุษย์
แต่ทั้ง ‘หมา’ ในนิทานเรื่องนี้ และในนิทานน้ำท่วมโลก กลายมาเป็น ‘บรรพบุรุษมนุษย์’ ในสังคมอุษาคเนย์แบบดั้งเดิม ‘หมา’ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของเพศ ‘ชาย’ เลย
เพราะในสังคมที่ ‘ผู้หญิง’ เป็นใหญ่ ‘หมา’ ที่ศักดิ์สิทธิ์จะกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เพศชาย’ ที่มีสถานภาพเป็นเพียงแค่ ‘ผู้บ่าว’ ได้อย่างไรกัน?
ก็ขนาดจะฟีเจอริ่งกันผู้ชายยังไม่ได้รับสิทธิ์นั้น ต้องให้ ‘หมา’ มาเป็นผู้เสพย์เพศรสแทนเลยนี่ครับ ในยุคสมัยหนึ่ง (ซึ่งก็นานโขอยู่มากทีเดียว) หมาจึงเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้นในโลกนี้ อย่างที่ผู้ชายทำไม่ได้
ดังนั้นถ้าจะมีใครกราบหมาเพื่อการใดๆ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร เราก็แค่ย้อนเวลากลับไปเมื่อเกือบๆ จะ 3,000 ปีที่แล้ว ก็แค่นั้นเอง
ภาพ: พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา