เครือข่ายไม่กินหวาน หวัง 'ภาษีน้ำหวาน' ช่วยปรับพฤติกรรมให้คนบริโภคน้ำตาลน้อยลง เชื่อภาคอุตสาหกรรมไม่ปรับขึ้นราคา เหตุอัตราภาษีเพิ่มขึ้นไม่ถึง 25 สตางค์ เตรียมหารือกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำตาลน้อย และร่วมวิจัยประเมินผลภาษีน้ำหวาน ช่วยลดบริโภคได้จริง
ภายหลังการบังคับใช้ภาษีสรรพสามิตใหม่ 13 สินค้า 4 ภาคบริการ หนึ่งในนั้นคือการเก็บภาษีน้ำหวาน เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 2 ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 16 กันยายน 2560
ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ในฐานะประธานเครือข่ายไม่กินหวาน เชื่อว่า การปรับขึ้นภาษีน้ำหวานไม่กระทบกับการปรับขึ้นราคาของภาคอุตสาหกรรม เพราะอัตราภาษีปรับในช่วง 2 ปีแรกอยู่ในสัดส่วนไม่มากนัก คิดเป็นราคาเครื่องดื่มไม่ถึง 25 สตางค์ อีกทั้งก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้ ได้หารือร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าจะยังไม่ปรับราคาเครื่องดื่มในช่วงนี้
ทพญ.ปิยะดา ยังเชื่อว่า การเก็บภาษีน้ำหวาน ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายปรับตัว โดยประชาชนเองก็จะได้รับความรู้หรือสร้างความเข้าใจว่ารัฐบาลตระหนักถึงปัญหาสุขภาพ ทำให้ต้องเก็บภาษีจนต้องหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่วนภาคอุตสาหกรรมจะใช้เวลาในช่วง 2 ปีนี้ ปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีสัดส่วนปริมาณน้ำตาลไม่มาก
@@เตรียม MOU รัฐ-เอกชน หาแนวทางลดบริโภคหวาน@@
ส่วนการปรับพฤติกรรมผู้บริโภคให้ลดปริมาณน้ำตาล เชื่อว่าเป็นมาตรการในระยะยาว เพราะจากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่า มาตรการทางด้านภาษี ถือเป็นเครื่องมือในการปรับพฤติกรรมผู้บริโภคได้ แต่อัตราภาษีจะต้องสูงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 การปรับภาษีจึงช่วยปรับพฤติกรรมในระยะยาว เพราะเป็นการขึ้นภาษีแบบขั้นบันได ปรับเพิ่มในทุก 2 ปี และคาดว่าในปี 2566 ภาษีอาจปรับมากถึงร้อยละ 5 ทำให้ภาคอุตสาหกรรม อาจต้องปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจนกระทบผู้บริโภค
ดังนั้น เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดปริมาณน้ำตาล และหาแนวทางอื่นๆ ร่วมกัน จึงเตรียมทำข้อตกลง (MOU) ระหว่าง เครือข่ายไม่กินหวาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความร่วมมือในการหาแนวทางให้ประชาชนลดการบริโภคน้ำตาลลง
@@เร่งวิจัยประเมินผลภาษี ปรับพฤติกรรมบริโภคหวานได้จริง@@
ทั้งนี้ เครือข่ายไม่กินหวาน จะเดินหน้าประเมินผลจากมาตรการภาษีน้ำหวาน โดยที่ผ่านมาได้ติดตามวิจัยพฤติกรรมของประชาชนที่ดื่มชา กาแฟ อย่างใกล้ชิด พบว่ามีการสั่งเมนูหวานน้อยเพิ่มมากขึ้นจากเดิม แต่งานวิจัยจะต้องเข้มข้นและละเอียดกว่านี้ เพื่อพิสูจน์ให้ภาคอุตสาหกรรม เห็นว่ามาตรการภาษีช่วยปรับพฤติกรรมได้จริง นอกจากนี้ เตรียมเสนอให้นำน้ำตาลออกจากผลิตภัณฑ์อาหารเด็ก เพื่อลดพฤติกรรมการบริโภคหวานในเด็ก เพราะปัจจุบัน พบว่าเด็กไทยติดหวาน จนทำให้มีปัญหาโรคอ้วน เพิ่มมากขึ้น
สำหรับค่าความหวานที่กรมสรรพสามิต แบ่งไว้มีทั้งหมด 6 ระดับ ดังนี้
1. ค่าความหวาน 0-6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ไม่ต้องเสียภาษี
2. ค่าความหวาน 6-8 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตรเสียภาษี 30 สตางค์
3. ค่าความหวาน 8-10 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 50 สตางค์
4. ค่าความหวาน 10-14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตรเสียภาษี 50 สตางค์ต่อลิตร
5. ค่าความหวาน 14-18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาทต่อลิตร
6.ค่าความหวาน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาทต่อลิตร
รายงานโดย วชิราภรณ์ นาสวน