รัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมอนุมัติให้ตำรวจท้องถิ่นของแต่ละรัฐสามารถใช้อาวุธและอุปกรณ์ทางการทหารในการปฏิบัติหน้าที่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีคนก่อนระงับไว้
สำนักข่าวเอพีเปิดเผยว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแผนจะเซ็นคำสั่งยกเลิกนโยบายของนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ที่ห้ามตำรวจใช้อาวุธหรืออุปกรณ์ทางการทหาร เช่น ปืนยิงลูกระเบิด, เสื้อเกราะกันกระสุน, และปืนหรือลูกกระสุนที่มีอานุภาพรุนแรงในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งรัฐบาลของนายทรัมป์ระบุว่าการให้ตำรวจเข้าถึงการใช้อาวุธของทหารในการปฏิบัติหน้าที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของสาธารณะและลดอัตราการเกิดอาชญากรรม
อย่างไรก็ตาม กลุ่มองค์กรต่อต้านความรุนแรงในสหรัฐฯ กังวลว่าการให้ตำรวจใช้อาวุธของทหารอาจจะยกระดับการเผชิญหน้ากันระหว่างตำรวจและผู้ก่อเหตุ เช่น การชุมนุมประท้วงตำรวจในเมืองเฟอร์กูสัน มลรัฐมิสซูรีของสหรัฐฯเมื่อปี 2014 ซึ่งเกิดการปะทะกันดุเดือดติดกันหลายคืนระหว่างผู้ชุมนุมและตำรวจ โดยตำรวจได้ใช้ทั้งปืนยิงแก๊สน้ำตา, รถหุ้มเกราะ และใช้ปืนไรเฟิลจ่อไปที่ผู้ประท้วงด้วย ซึ่งถูกมองว่าเป็นการใช้อาวุธที่มีความรุนแรงเกินความจำเป็น และหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น นายบารัก โอบามา ได้เซ็นคำสั่งห้ามตำรวจในแต่ละรัฐใช้ปืนยิงระเบิด, มีดปลายปืน, รถหุ้มเกราะ, รถยนต์ หรือเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ และห้ามใช้อาวุธปืนและลูกกระสุนที่มีขนาดใหญ่กว่า 12.7 มม. ในการปฏิบัติหน้าที่
ด้านสำนักข่าวยูเอสเอทูเดย์ รายงานว่าคำสั่งใหม่ของทรัมป์จะเน้นไปที่การรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน มากกว่าการใช้อาวุธเพื่อปราบปรามผู้กระทำผิด และอาวุธของทหารส่วนใหญ่ที่อนุญาตให้ตำรวจนำกลับมาใช้ เป็นอาวุธที่ถูกออกแบบมาเพื่อการป้องกันตัวเพื่อความปลอดภัยของตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่
ตำรวจในแต่ละรัฐทั่วสหรัฐฯ ต่างเรียกร้องต้องการอาวุธที่มีแสนยานุภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับประกันความปลอดภัยของตำรวจ โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นเหตุกราดยิง หรือก่อการร้าย ที่ผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ชาวอเมริกันมองว่าตำรวจสหรัฐฯยังคงมีปัญหาด้านการใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่
เรียบเรียงโดย ชาญชัย ประทีปวัฒนะวงศ์
ภาพ: AP