ไม่พบผลการค้นหา
พระพรหมที่แยกราชประสงค์ เป็นพระพรหมในศาสนาไหน? และเป็นพระพรหมองค์ไหนกันแน่?

วันที่ 17 สิงหาคม 2558 หรือวันนี้เมื่อสองปีก่อน เกิดเหตุคนร้ายลอบระเบิดขึ้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ จนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก และส่วนหนึ่งของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแรงระเบิด ก็ไม่ได้ทำร้ายเพียงแต่ผู้คนที่สัญจรไปมา หรือทำมาค้าขายอยู่ในละแวกดังกล่าวเท่านั้น เศษระเบิดบางส่วนก็ยังทำให้ ‘พระพรหม’ ที่ประดิษฐานอยู่ในศาลชื่อดังเกิดเป็นรอยบิ่นขึ้นมาด้วย

พระพรหมเป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยถือว่าเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 3 พระองค์ ร่วมกับพระศิวะ (พระอิศวร ก็เรียก) และ พระนารายณ์ (องค์เดียวกับ พระวิษณุ) แต่ในถิ่นฐานบ้านเกิดของศาสนาและความเชื่อพราหมณ์ คือในชมพูทวีปนั้น พระศิวะ และพระนารายณ์ ดูจะได้รับความนิยมจากมวลชนมากกว่าพระพรหม

ก็มากกว่าถึงขนาดที่ว่า มีนิกายการนับถือพระศิวะ และพระนารายณ์ เป็นการเฉพาะคือ ไศวนิกาย และไวษณพนิกาย ตามลำดับ (และนี่ยังไม่นับอีกสารพัดนิกายยิบย่อย ที่นับถือเทพเจ้าทั้งสองพระองค์นี้ในรูปลักษณะ และปรัชญาที่แตกต่างไปจากกันอีกด้วย) ในขณะที่พระพรหมนั้นไม่มี

แต่ที่เล่ามาข้างต้นนั้นก็เป็นเฉพาะเรื่องของ พระพรหม ในศาสนาพราหมณ์-ฮิินดูเพียงถ่ายเดียว อันที่จริงแล้ว พระพรหมก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในศาสนาพุทธ ตั้งแต่ในอินเดียแล้วด้วย แถมพระพรหมตามคติแบบพุทธนั้น ก็ไม่ได้มีเพียงองค์เดียวโด่เด่เหมือนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอีกต่างหาก

ในจักรวาลวิทยาแบบพุทธศาสนา ‘โลก’ (ในภาษาบาลี และสันสกฤตแต่ดั้งเดิมนั้น โลก กับจักรวาลคือสิ่งเดียวกัน ไม่ได้ต่างกันแบบภาษาไทยในปัจจุบันนี้) ไม่ได้ประกอบขึ้นจากเพียงแค่ มนุษยภูมิ, นรก และก็สวรรค์เท่านั้น เพราะเหนือขึ้นไปจากสวรรค์ทั้ง 6 ห้องฟ้านั้น (มติดั้งเดิมในพุทธศาสนานั้น สวรรค์มีเพียง 6 ชั้น หรือถ้าจะเรียกตามศัพท์โบราณก็มีเพียง 6 ห้องเท่านั้นนะครับ ส่วนสวรรค์ชั้น 7 นั่นต้องไปถามเอาจาก คุณทรนง ศรีเชื้อ ไม่ก็คุณเจ เจตริน) ยังมีอะไรที่เรียกว่า ‘พรหมโลก’ อยู่อีก

ถูกต้องแล้วครับ ‘พรหมโลก’ ก็คือ โลกที่พระพรหมอาศัยอยู่ แถมในเมื่อสวรรค์ยังต้องมีถึง 6 ห้อง หรือชั้นฟ้าแล้ว ถิ่นที่อยู่สำหรับอะไรที่เรียกว่า ‘พรหม’ ที่พุทธศาสนาอ้างว่า เป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาสูงยิ่งกว่าเทวดา หรือเทพเจ้าทั้งหลาย ก็ต้องมีกันถึง 16 ชั้นฟ้า หรือที่มีศัพท์เรียกรวมๆ กันว่า ‘โสฬสพรหม’ (โสฬส แปล่า 16) 

แต่โสฬสพรหมก็ยังถือว่าเป็นพรหมที่มีบารมีไม่สูงถึงขั้นสุด เพราะว่ายังเป็นพระพรหมที่มีรูป เรียกว่า ‘รูปพรหม’ (คือยังมีกิเลสพอให้เห็นรูปกายอยู่บ้าง ถึงจะไม่ถือว่าเป็นกายหยาบระดับเดียวกับมนุษย์อย่างเราๆ ก็เถอะ) พระพรหมที่บำเพ็ญบารมี ถึงขั้นสูง จะไม่มีรูป เรียกว่า ‘อรูปพรหม’ (ไทยเรียก พรหมลูกฟัก) ซึ่งก็จะไม่อยู่ปะปนกับรูปพรหมทั้ง 16 ห้องฟ้านี้ แต่จะไปอยู่เหนือขึ้นไปในดินแดนของ อรูปพรหมที่มีพื้นที่ให้จับจองอยู่อีก 4 เฟสชั้นฟ้าเลยทีเดียว 

คิดสะระตะแล้ว เฉพาะดินแดนส่วนที่เรียกว่า ‘พรหมโลก’ ในจักรวาลวิทยาของพุทธศาสนาคือ รูปพรหม 16 ชั้น และอรูปพรหมอีก 4 ชั้น จึงมีพื้นที่ถึง 20 ห้องฟ้าเลยทีเดียว ในโลกของพระพรหมนั้น จึงมีพรหมพลุกพล่านขวักไขว่กันให้เต็มไปหมด ในคัมภีร์ทางศาสนาพุทธเราจึงมีพระพรหมอยู่หลายองค์ มีชื่อ สุนัตตกุมารพรหมบ้าง พกาพรหมบ้าง และก็มีอีกหลายๆ พรหมเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าสามารถบำเพ็ญบุญบารมีได้ถึงระดับแล้ว ก็ล้วนแต่สามารถไปเกิดเป็น ‘พรหม’ ได้เหมือนกันทั้งนั้น ไม่เหมือนพระพรหมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่มีลักษณะเป็นปัจเจกบุคคลแยกไปจากคนอื่นๆ ต่างหาก

ดังนั้นคำถามที่สำคัญในที่นี้ก็คือ แล้วพระพรหมที่แยกราชประสงค์ เป็นพระพรหมในศาสนาไหน? และเป็นพระพรหมองค์ไหนกันแน่? 

ศาลพระพรหม ที่สี่แยกราชประสงค์ ถูกสร้างขึ้นเพราะเมื่อปี พ.ศ. 2494 พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ต้องการสร้างโรงแรมเอราวัณขึ้นเพื่อใช้รองรับชาวต่างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาดำเนินการสร้างโรงแรมแห่งนี้มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับ อุปสรรคและอุบัติเหตุนานาประการระหว่างการสร้างอย่างมากมาย

และก็ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับว่า เมื่อเกิดเรื่องทำนองขึ้น คนไทยเราก็ไม่จะผูกโยงเรื่องราวเข้ากับอาถรรพ์และสิ่งเร้นลับต่างๆ มากกว่าที่จะมองหาข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติการ และโครงสร้างทางการจัดการอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่หนทางในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

เรื่องราวมันจึงคาราคาซังอยู่ในจิตใจของผู้คนอยู่อย่างนั้นมาจนกระทั่งถึงเรือน พ.ศ. 2499 ทางบริษัท สหโรงแรมไทย และการท่องเที่ยว จำกัด ผู้บริหารโรงแรมเอราวัณ จึงค่อยติดต่อ พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. นายแพทย์ใหญ่กองทัพเรือ ผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการ ‘นั่งทางใน’ ที่สุดคนหนึ่งของช่วงสมัยนั้น ช่วยดำเนินการหาฤกษ์วันเปิดโรงแรมให้ 

และก็เป็นเพราะเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้เกิดการสร้าง ศาลพระพรหม ที่โด่งดังที่สุดในโลกแห่งนี้ขึ้นมา เรื่องของเรื่องมันเริ่มจากที่หลวงสุวิชานแพทย์ท่านท้วงติงขึ้นมาว่า ทางโรงแรมยังไม่เคยมีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์ในบริเวณนั้นเลยสักนิด ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ที่โรงแรมก็ไม่ถูกต้อง แล้วจะให้เจ้าที่เจ้าทางท่านพออกพอใจได้อย่างไร?

แถมชื่อ ‘เอราวัณ’ ของโรงแรมนั้นยังเป็นชื่อที่ ‘ใหญ่’ และ ‘ศักดิ์สิทธิ์’ เกินไป เพราะเป็นชื่อช้างทรงของพระอินทร์ จึงจำเป็นต้องมีการบวงสรวงที่เหมาะสม และต้องขอพรให้พระพรหมช่วยขจัดอุปสรรคทั้งหลาย ที่สำคัญคือต้องมีการสร้างศาลพระพรหมขึ้นทันทีเมื่อสร้างโรงแรมจนแล้วเสร็จ จึงมีการสร้างศาลพระพรหมขึ้นมาอย่างที่เห็นๆ กันอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้เอง

ผมก็ไม่ทราบว่า ทำไมเมื่อเป็นเรื่องของเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นแล้ว หลวงสุวิชานแพทย์ท่านไปลากพระพรหมเข้ามามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ได้ด้วยอีท่าไหน? แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็ยังคงหลุดมาจากปากคำของหลวงฯ ท่านเดียวกันนี้อยู่ดีนั่นแหละ 

เพราะท่านอ้างว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทับอยู่ภายในรูปปั้น ‘พระพรหม’ องค์นี้ ไม่ใช่องค์พระพรหมเองเสียหน่อย แต่เป็น ‘ท้าวเกศโร’ ซึ่งเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของ ‘สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว’ พระอนุชาและกษัตริย์พระองค์ที่สองในรัชกาลที่ 4 ซึ่งหลวงสุวิชานแพทย์ให้ปากคำไว้ว่า พระองค์ได้ทรงไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของพระพรหมอยู่บนสวรรค์ หลังจากที่ทรงเสด็จสวรรคตไปแล้ว

ผมไม่ทราบว่าจะไปตรวจสอบได้อย่างไรว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตย์อยู่ในรูปพระพรหมที่หน้าโรงแรมเอราวัณนั้นเป็น ดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ จริงอย่างที่หลวงสุวิชานแพทย์ท่านอ้างไว้จริงหรือเปล่า? เพราะผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการนั่งทางในเหมือนกับหลวงฯ ท่านที่ว่า

และถึงแม้ว่ามนุษย์จะสามารถส่งจรวดไปถึงดาวพลูโต ที่สุดขอบระบบสุริยจักรวาลของเราได้แล้ว แต่ใครจำนวนมหาศาลก็ยังเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระพรหมที่แยกราชประสงค์ท่านอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องทราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตย์อยู่ภายในคือองค์พระปิ่นเกล้าฯ ไม่ใช่พระพรหม ผมก็คงไม่จำเป็นต้องสนใจพิสูจน์ด้วยว่า ที่หลวงสุวิชานแพทย์ท่านอ้างไว้จะเป็นเรื่องชัวร์หรือมั่วนิ่มเหมือนกัน 

เพราะสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า ก็อยู่ที่ปากคำของหลวงฯ คนเดิมนี้อยู่ดี ในฐานะที่เป็นผู้อัญเชิญเอาสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ มาประทับนั่งดูนางละครรำแก้บนแบบทรงพระชิลๆ ที่แยกราชประสงค์อยู่จนทุกวันนี้ 

การที่หลวงสุวิชานแพทย์ท่านอ้างว่า เมื่อสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว ก็ทรงไปเป็นผู้ช่วยของพระพรหมนั้นก็แสดงให้เห็นว่า พระพรหมของท่านดูจะเป็นเอกเทศ เพราะไม่ต้องมีชื่อมากำกับว่าเป็นพระพรหมองค์ไหน? ซึ่งก็ทำให้ดูเหมือนกับว่า จะเป็นพระพรหมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนะครับ 

ยิ่งเมื่อประติมากรรมรูปพระพรหมที่นำมาประดิษฐานอยู่นี้ก็ดูเหมือนเทวรูปของพวกพราหมณ์ชัดๆ แต่พระพรหมของพวกพราหมณ์ก็ไม่เคยเปิดรับสมัครผู้ช่วย หรือตำแหน่งอะไรอื่นอยู่ดี และก็คงไม่มีเทวรูปของพวกพราหมณ์องค์ไหนเลย ที่แสดงเป็นรูปพระพรหม หรือเทพเจ้าพระองค์อื่นๆ แล้ว แต่เนื้อในกลับไม่ใช่จิตวิญญาณ (หรือบางส่วนของจิตวิญญาณนั้น) ที่มาสถิตย์อยู่ 

แต่ความเชื่อ และธรรมเนียมทำนองนี้กับพบได้โดยทั่วไปในภูมิภาคอุษาคเนย์ของเรานี้เอง กษัตริย์ขอม และชวาโบราณ สร้างศิวลึงค์ รูปพระนารายณ์ หรือแม้กระทั่งพระพุทธเจ้า เพื่อให้ดวงวิญญาณของพระองค์ไปหลอมรวมเข้ากับเทพเจ้าพระองค์นั้น เมื่อพระองค์สวรรคตไปแล้ว 

ในไทยก็มีอะไรทำนองนี้ในรูปของพระพุทธรูปฉลองพระองค์ อย่างพระพุทธรูปทรงเครื่องสององค์ที่พระอุโบสถ วัดพระแก้วมรกต ก็เป็นรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างอุทิศถวายให้รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 พร้อมกับฉลองพระนามพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้ว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้าสุราลัย (รัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนพระนามให้เป็น พระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ซึ่งก็ทำให้ทั้งรัชกาลที่ 1 และ 2 ทรงมีพระนามตามพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้มาจนกระทั่งปัจจุบัน เพราะในรัชสมัยของพระองค์ทั้งสองนั้น ไม่เคยมีพระนามอย่างนี้เลย 

ส่วนธรรมเนียมที่มา หรือแนวคิดที่ทำให้รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้นั้นผมคงจะไม่จำเป็นจะต้องบอกใช่ไหมครับ?

เอาเข้าจริงแล้ว พระพรหมที่ประดิษฐานอยู่ที่แยกราชประสงค์ จึงไม่ได้สร้างขึ้นในศาสนาพุทธ หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแท้ๆ แม้แต่น้อย แต่สร้างขึ้นใน ‘ศาสนาไทย’ ที่เอาความเชื่อพุทธ ธรรมเนียมพราหมณ์ มาแต่งหน้าแต่งตาให้ศาสนาผีของตนเองดูอินเตอร์ขึ้นมาอีกหน่อย และถ้าจะยังมีใครเชื่อการวางระเบิดเมื่อสองปีที่แล้วเกี่ยวโยงกับเรื่องศาสนา ก็สบายใจได้นะครับ เพราะพระพรหมองค์นี้เกี่ยวของกับศาสนาผีแบบไทยๆ มากว่าศาสนาอื่นๆ

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
182Article
76558Video
0Blog