ไม่พบผลการค้นหา
นักหนังสือพิมพ์ฝรั่งบอกว่า ทำไมถึงพูดเปิดเผยอย่างนี้ล่ะ บอกว่า อ้าว ฉันถือคติอย่างหนึ่ง คนเรานี่ถ้าพูดด้วยสัจจะความจริงแล้วไม่เหนื่อย เพราะเราไม่ต้องเลี้ยวลดอะไรเลย ก็พูดไปตามความจริง เขาบอกว่า เขาลองใจฉัน Why are you so frank?

"นักหนังสือพิมพ์ฝรั่งบอกว่า ทำไมถึงพูดเปิดเผยอย่างนี้ล่ะ บอกว่า อ้าว ฉันถือคติอย่างหนึ่ง คนเรานี่ถ้าพูดด้วยสัจจะความจริงแล้วไม่เหนื่อย เพราะเราไม่ต้องเลี้ยวลดอะไรเลย ก็พูดไปตามความจริง เขาบอกว่า เขาลองใจฉัน Why are you so frank?"

 

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลุ่มนักข่าวหญิงเข้าเฝ้าฯ

พระบรมฉายาลักษณ์ถูกอัญเชิญในหนังสือ "พระราชกระแสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ"


ย้อนไป พ.ศ. 2523 "กลุ่มนักข่าวสตรี 29 คน" ถือโอกาสปีกึ่งทศวรรษแห่งปีสตรีสากลขององค์การสหประชาชาติ ขอพระราชทานพระราชานุญาตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพื่อขอพระราชทานสัมภาษณ์ นับเป็นครั้งแรกที่ "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ" พระราชทานพระราชกระแสแก่สื่อมวลชนไทย ตั้งแต่ทรงดำรงพระราชอิสสริยยศ "พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9" กว่า 3 ทศวรรษ

"การปฏิบัติหน้าที่ของนักข่าว จะแสวงหาข่าวสารโดยการตั้งคำถามมากที่สุด ดังนั้น แม้จะได้กราบบังคมทูลหัวข้อเรื่องมาเป็นจำนวนมากเช่นนี้ แต่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอให้การพระราชทานพระราชกระแส อันเป็นประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ได้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย" คำกราบบังคมทูลถวายรายงานด้วยถ้อยคำเกรงพระราชหฤทัย โดยคุณหญิงมาลี พันธุมจินดา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ขณะเบิกนักข่าวขอเข้าเฝ้าฯก่อนการพระราชสัมภาษณ์เริ่มต้น

หากการพระราชสัมภาษณ์ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อ 28 สิงหาคม 2523 ณ ห้องบรรณาคม พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชวโรกาสให้กลุ่มนักข่าวหญิงเข้าเฝ้าฯ กว่า 4 ชั่วโมงครึ่ง

หัวข้อที่กลุ่มนักข่าวหญิงขอพระราชทานพระราชกระแส ได้แก่ เรื่องเนื่องในชีวิตประจำวันส่วนพระองค์, การส่งเสริมการศึกษาและอาชีพประชากรในชนบท, เหตุการณ์ในสังคม, การส่งเสริมสิทธิสตรี และความในพระราชหฤทัยต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ต่อมา กลุ่มนักข่าวหญิงและสมาคมนักหนังสือพิมพ์ฯ ได้ถอดพระราชกระแสโดยรักษาถ้อยคำรับสั่งตรงตามเทปบันทึก และจัดพิมพ์เป็นหนังสือ "พระราชกระแส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานแก่กลุ่มนักข่าวหญิง" ออกเผยแพร่ต่อสาธารณะ

ในโอกาสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2560 "วอยซ์ทีวี" ขออัญเชิญบทพระราชทานสัมภาษณ์ครั้งประวัติศาสตร์แก่สื่อมวลชน โดยคัดสรรบางส่วนจากหนังสือ "พระราชกระแสฯ พระราชทานแก่กลุ่มนักข่าวหญิง" เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณสืบไป อีกวาระหนึ่ง

 

นักข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุ-โทรทัศน์ และนิตยสาร จำนวน 29 คน ที่ได้เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลสัมภาษณ์


ฉันเป็นคนที่แก้ไม่หาย พระท่านบอกว่า ยังติดอยู่กับความสวยความงาม

"ทุกคนเป็นพยาน ความรักความใกล้ชิดที่ไม่สามารถจะบอกได้ เห็นเหงื่อฉันไหล เขาเอาผ้าเช็ดหน้าของเขาที่ปูบนพื้น แล้วพื้นนี่ทุกคนก็เหยียบ พระเจ้าอยู่หัวผ่านไปก็แฉะหมดเลย แล้วองครักษ์ก็เหยียบหมด เขาเห็นเหงื่อหยดติ๋งๆ เขาเอาผ้าเช็ดหน้านั่นขึ้นมาถูให้ใหญ่เชียว (ทรงทำท่าที่ชาวบ้านขึ้นเอามาเช็ดพระพักตร์) ฉันไม่ได้รังเกียจ แต่ฉันสะดุ้งเฮือก พยายามเบนหน้าหนี ไม่ได้กลัวอะไรหรอก กลัวเครื่องสำอางหลุด มันคนละสีน่ะ แย่เลย พุทโธ่ เราทาไว้สีหนึ่ง เขาเอาอีกสีหนึ่งขึ้นมาเช็ดใหญ่เลย เคราะห์ดีที่ไม่หลุดมาก ต้องหันมาถามนางสนองพระโอษฐ์ว่า นี่หลุดหรือเปล่า เดี๋ยวคนละสี ก็น่าดู เขาไม่บอกไม่กล่าวเลย โอ๋ แม่คุณโอ๋ใหญ่พร้อมทั้งเช็ดให้ใหญ่"

"ฉันเป็นคนที่แก้ไม่หาย พระท่านบอกว่า ยังติดอยู่กับความสวยความงาม แต่ว่าความจริงแล้วเป็นอย่างนั้น ชอบความสวยงาม แล้วอีกประการหนึ่ง ชาวบ้านนี่นานๆ เขาจะเห็นเราสักทีหนึ่ง โดยมาก ชั่วชีวิตเขาก็เห็นไม่กี่ครั้ง เลยคิดว่า พยายามแต่งตัวให้ดี ให้เขาเห็น ให้เขาจำ

ความจริงถึงแต่งตัวดีมากไปได้ประเดี๋ยว มันก็มอม เพราะคลุกฝุ่น โดยมากพยายามใส่ชุดชาวเขาไปหาชาวเขา พอเขาเห็น เขาบอกว่า เอ๊ะ สวยนี่ สวย แล้วเขาตั้งใจทำคือชาวเขานึกว่า ผ้าปักของเขานี่ไม่มีคุณค่าอะไร ไปทำอะไรก็ไม่ได้เท่าไหร่ จึงมักเอามาใช้กับแพ้นท์สูท แล้วใส่เครื่องเงินที่เขาให้อย่างนี้"

"แพ้ชรานี่ ฉันว่าคงแพ้จริงๆ ไม่มีใครชนะได้ความชรา ถ้าเผื่อไม่แพ้ชรา ก็คงไม่ต้องนั่งน้ำตาไหล หรือต้องกินยาเสมอ ร่างกายคงต่อต้านได้มากกว่านี้ คงแพ้ชราจริง แต่เรื่องไปผ่าตัดนี่ ฉันขอบอกกับทุกคนเลยว่า อยากทำจมูกที่สุด หน้าน่ะ ไม่อยากดึง เพราะเปล่งปลั่งไปหมดแล้วเวลาแพ้ น้ำจะไปอยู่เต็มเชียว บวม นี่พอออกฝุ่นได้สัก 2 ชั่วโมง ผิวสวย ให้นอนชั่วโมงเดียวก็ไม่มีวันเหี่ยว เขาก็ว่าฉีด อย่างจมูกนี่ก็เขียน จมูกบวมแล้วก็แดงแจ๋ เอาแชโดว์เขียนดำๆไว้ ให้ดูเล็กแรเงา เขาว่า ทำจมูก ฉันบอกอยากทำจริงๆ ไม่เช่นนั้น ต้องแต่งจมูกนานเหลือเกิน

เอาละ เขาว่าทำก็เลยจะทำจริงๆ ตั้งใจจะไปทำที่อเมริกา แหม โกรธหมอฝรั่งไม่ยอมทำ หมอฝรั่งบอก โอ๊ย ไม่ได้ ขืนฉันแตะจมูกยูเข้าไป คนจะได้ด่าปะไร คนฝรั่งๆนี่ต้องด่าฉันแน่"



พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แบบอย่างแห่งความเรียบง่าย

"พระเจ้าอยู่หัวนี่ แม้แต่อยู่ลำพัง ไม่เคยเห็นท่านเคยรับสั่งอะไรที่ไม่ควร ไม่เคยโปรดเลยที่จะว่าใคร นินทาใคร ท่านไม่มีเลย ท่านไม่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ใครเลย แม้แต่อยู่ลำพังนี่ ท่านก็พูดถึงสิ่งสร้างสรรค์ทั้งนั้น ท่านจะสนุก อย่างเรื่องดนตรี เรื่องเรือใบ ตอนนี้ท่านก็สนุกกับการพัฒนา ท่านก็พูดแต่พัฒนาแผนที่ของท่าน ท่านไม่รับสั่งเรื่องที่ไปกระทบหรือใส่ร้ายหรืออะไรกับใคร ต้องคนอยู่ใกล้พระองค์นี่ถึงจะเห็น

แล้วท่านทำอะไรท่านทำเองหมดเลย อย่างเสด็จภาคใต้นี่ ท่านก็แพ็คของเอง ในการแต่งพระองค์ก็ไม่สนพระทัยเลย ขำ เมื่อตอนท่านหนุ่มๆ บอกว่าท่านดัดผม (ทรงพระสรวล) ในหลวงดัดผม ที่แท้ แม้แต่จะส่องกระจกนานๆ ก็ไม่ส่อง ไม่สนพระทัยเลย แล้วก็อย่างกระดุม กระดุมของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงใส่ 5 เม็ดนี่ สวย เป็นไพลินงามๆทั้งนั้น ฉันเอามาให้ท่านไว้ใส่ ท่านก็ไม่ชอบใช้ นาฬิกาซื้อถวายเมื่อวันเฉลิมฯ ซื้อเป็นเรือนทอง ท่านก็ไม่ชอบ เพราะท่านบอกว่า "ต้องแกะเข้าแกะออก ฉันไม่ชอบ ชอบเวลาล้างมืออะไรมันได้ทั้งนั้น" ตกลงเสด็จฯ ออกสเตตวิสิต (เสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ) ก็นาฬิกาเหล็กนั่น เสด็จลงเรือใบก็นาฬิกาเรือนนั้น

ที่แปลกคือเรื่องเสวยนี่ จะเย็นจะร้อน ท่านไม่สนพระทัยเลย เอามาตั้งนี่ ไม่เคยขอเลย เติมน้ำปลา ไม่เคยเลย นี่มหาดเล็กที่อยู่นี่ทราบเป็นพยานได้เลย ท่านไม่เอา ไม่สนพระทัยเลย"



ขอให้ทรงพาไปต่างประเทศ ท่านบอกว่า "เสียเงินตราต่างประเทศ"

"หมอฝรั่งบอกว่า ปีหนึ่งให้ไปตากอากาศสักแค่สองเดือนก็พอ ให้ตัดวงจร แต่พระเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่งว่า พักบ้านเราเถอะ พักหัวหิน แต่ทีนี้พอชาวบ้านทราบว่าเสด็จฯมา เขาก็มาหา แล้วจะนั่งรถไปไหนมาไหน โดยไม่แวะเยี่ยมชาวบ้านก็ไม่ได้ พอเห็นสภาพของเขา ก็พักไม่ลง"

"ชาวบ้านบ่นจะหมดตัว จะอดตาย ไปพักที่หัวหินก็ไม่ไหว สมมติว่าไปพักที่ภูพิงค์ (พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศ จ.เชียงใหม่) แล้วไม่ออกไปทำงานอย่างหมอฝรั่งว���า อยู่ที่นี่ ทหารต้องขึ้นไปตรึงแนวเขต เขาต้องเอาทหารขึ้นไป อย่างทหารที่ไปอยู่ชายแดน พอหมดหน้าที่จากชายแดน แทนที่จะได้พัก ก็ต้องไปเฝ้าอารักขาพระองค์ เพราะที่นั่นเป็นป่าสูง ต้องไปเฝ้ายามรักษาพระองค์ ทหารไม่ได้พัก จากสนามรบมารักษาพระองค์ มันน่าเกลียด อีกอย่างเมื่อรู้ว่า เราออกไปจะเจอกับความยากจนอย่างมหันต์แล้วก็พักไม่ได้

ทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า ปีหนึ่ง ขอให้ทรงพาไปต่างประเทศสักเดือนหนึ่งสองเดือน แทนที่จะไปหัวหิน ก็ยังดี ท่านบอกว่า เสียเงินตราต่างประเทศ"

"เรื่องไปเมืองนอก พระเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งว่า เงินตราต่างประเทศยิ่งแพ้เปรียบ เสียดุลย์อยู่แล้ว ท่านก็ไม่ยอม ความที่จริง ท่านสนุกกับการหาแหล่งน้ำของท่าน คือ ท่านทรงเขม็ดแขม่มาก ในสมัยนายกฯเกรียงศักดิ์ (พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่าง ต.ค. 2520 - ก.พ. 2523) วันหนึ่งขึ้นบันไดหลังไปเฝ้าที่ชั้นบน บันไดหน้ามีสำหรับแขกใหญ่โต ด้านหลังเลอะเทอะ ไม่โก้ เอาโก้ไว้รับแขก

นายกฯเกรียงศักดิ์ขึ้นไปบันไดหลังเห็นพรมหัวล้านขาด คุณพูลเพิ่ม (นายพูลเพิ่ม ไกรฤกษ์ เลขาธิการสำนักพระราชวัง) เล่าว่า นายกฯเกรียงศักดิ์ บอกว่า ตายจริงท่านอยู่อย่างนี้นะเหรอ นี่บ้านคนรวยเขายังดีกว่านี้ เท่านั้น รุ่งขึ้นนายกฯ ก็เปลี่ยนพรมถวาย บอกไม่ไหว คือ ขึ้นชื่อว่าสวนจิตรแล้ว สิรินธร จุฬาภรณ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี) บอก แม่ นี่แม่มารีอังตัวเนต ดูบ้านแม่ซิ (ทรงพระสรวล) ที่อยู่นี่ โกโรโกโส

เรื่องจะขอสร้างหรือต่อเติมอะไร ทำอะไรให้สวยนี่ พระเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่งว่า เสียเงิน เอาไว้พัฒนาแหล่งน้ำ ถึงแม้จะเป็นงบทรัพย์สินอะไรนี่ ท่านก็เอาไว้พัฒนา"



ฉันชอบฟังคนด่า เพราะว่าถ้าคนด่านี่เราไม่ลืมตัว

"บังเอิญ ฉันชอบอ่านใบปลิวโจมตี สมเด็จฯ เสด็จฯอเมริกา 1980 อะไรนี่ ทุกคนพยายามปิดซ่อน ฉันไปค้นเอามาอ่าน ฉันบอก ฉันชอบฟังคนด่า เพราะว่าถ้าคนด่านี่เราไม่ลืมตัว ถ้าคนชมนี่ หลง เพราะฉะนั้น ชอบฟัง แล้วก็ชอบดู ค้นหาในระหว่างบรรทัดว่า ที่เขาด่าเรานี่ เพราะเหตุผลใด เราผิดจริง หรือว่าเขากลัวเราในสิ่งที่เราทำ คือชอบค้นคว้าอย่างนี้ ถ้าเราผิดจริง เราก็แก้ ถ้าเราพิจารณาเห็นว่า เอ๊ะเขากลัวเรา ทำไมต้องกลัวเรา ถ้าเขาเป็นคนไทย ในเมื่อเขามีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง เขาก็จะต้องช่วยเราบำรุงรักษาบ้านเมือง"

"เมื่อครั้งเล่าเรื่องต่างๆในวันเฉลิมฯ ปีนี้ที่สวนอัมพร เพิ่งจะมาเล่าให้ทราบ มีคนที่เขาไม่รักฉันเลยเชียว รู้สึกว่าเขาจะเป็นนายกสมาคมเอกชนอะไรสักแห่ง ไม่ทราบ เขาก็มาบ่นว่า ทำไม่ท่านพูดอย่างนี้มาตั้งนาน ปล่อยให้แอนตี้ตั้งนาน อ้าว ก็ไม่รู้ตัวนี่ว่า แอนตี้เรา ไม่ทราบ

เขาบอก ทำไมไม่รู้จักพูดออกมาว่าทำอะไรบ้าง กลับโดนดุเสียอีกว่า ไม่รู้จักพูด แล้วก็โดนฝรั่งดุว่า ทำไมไม่พูด ทำไมไม่เล่า บอกว่าพวกเราเห็นเป็นของธรรมดา"



Why you are so frank? ทำไมท่านจึงเปิดเผยเช่นนั้น

"พวกที่สัมภาษณ์ฉัน เขาบอกว่า ให้เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด พูดตามสบาย เขาว่าอย่างนั้น แปลกอย่างหนึ่ง นักหนังสือพิมพ์อเมริกันนี่ พอบอกตามตรงเขาก็บอกว่า เรื่องนี้เขาไม่เอาลงนะ

เขาบอกว่า เพราะว่า ท่านนี่เป็นคนที่พูดจาจากหัวใจ พูดจานี่ไม่ใช่นักการเมืองเลย เพราะฉะนั้นเขาเรสเป็ก (เคารพ,นับถือ) เขาไม่เอาลง อย่างถามว่า นานเท่าไหร่ที่คิดว่าเมืองไทยจะอยู่รอด ฉันก็ตอบว่า คิดว่าอยู่ได้

เขาถามว่า มีอะไรถึงทำให้คิดว่า อยู่ได้ เพราะพวกเราคิดว่าเมืองไทยไปไม่รอด ด้วยเหตุผลหลายอย่าง หนึ่งการแย่งอำนาจ สองอาวุธที่ไม่ดีเท่าเทียมกับอีกฝ่าย เพราะเขาทราบว่ากองทัพต่างชาติอยู่ใกล้เรา

ฉันก็ตอบว่า ฉันคิดว่าเมืองไทยอยู่ได้

เรื่องนี้ เขาบอกว่า เขาจะไม่เอาลง เพราะจะทำให้พระองค์ลำบาก พระองค์นี่เป็นพระราชินี ไม่ควรพูดเรื่องการเมือง

ฉันถามเขาว่า ขอเดฟินิชัน (คำจำกัดความ) ขอลักษณะที่เขาเรียกว่า การเมือง ว่าหมายถึงอะไร คำว่าการเมือง พอลิติก (การเมือง) นี่หมายถึงอะไร ขอให้เขาอธิบายซิ เพราะฉันไม่เข้าใจคำว่าการเมือง เข้าใจและทราบว่าเป็นคำภาษาโบราณ แต่ว่ามาบัดนี้ กี่พันปีมาแล้วมันต้องเปลี่ยน เพราะฉะนั้น เดฟินิชันของเขา คำว่า พอลิติก นี่คืออะไร

นักหนังสือพิมพ์ฝรั่งบอกว่า ทำไมถึงพูดเปิดเผยอย่างนี้ล่ะ

บอกว่า อ้าว ฉันถือคติอย่างหนึ่ง คนเรานี่ถ้าพูดด้วยสัจจะความจริงแล้วไม่เหนื่อย เพราะเราไม่ต้องลดเลี้ยวอะไรเลย ก็พูดไปตามความจริง เขาบอกว่า เขาลองใจฉัน เขาเลยบอกว่า วาย ยู อาร์ โซ แฟรงค์ (ทำไมท่านจึงเปิดเผยเช่นนี้)"

"ฉันบอก ฉันสู้ด้วยความจริงนี่ ในใจคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น แต่ถ้าเผื่อในใจคิดไม่ดีถึงใคร ก็ไม่พูด เพราะทำให้เขาเสียใจก็ไม่พูด เขาเลยบอกว่า เป็นคนเปิดเผยว่าเพราะใช้คำพูดว่า ชี'ส โซ เอ็กซ์ตรีม โอเพน มายเดท, ชี'ส โซ แฟรงค์ (พระองค์ทรงเปิดเผยมาก น้ำพระทัยกว้างมากเหลือเกิน)

ฉันบอกว่า ก็ท่านถาม ฉันก็ตอบ ถามว่าไม่กลัวโดนด่าหรือว่า ควีนเข้ามายุ่งเรื่องการเมือง

ฉันบอกว่า ฉันไม่ทราบคำว่า การเมืองแปลว่าอะไร ลักษณะที่ท่านหมายถึงนี่ อะไรคือการเมือง อะไรคือการบ้าน อะไรคือชีวิตของเมตตาธรรมที่ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ควรจะมีต่อคนยากคนจร ที่ไม่สามารถจะสู้เพื่อตนเองได้ ฉันเลยไม่ทราบว่า ควรจะหรือไม่เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง"

 

ทรงแนะผู้หญิงใช้ความเป็นแม่ช่วยพัฒนาสังคม

"รู้สึกว่า ผู้หญิงนี่มีคุณธรรมความเป็นแม่ เพราะฉะนั้นช่วยได้มาก ถ้าอยากจะช่วย ตัวอย่างง่ายๆ คือ อบรมลูกให้รู้จักว่า เมืองไทยนี้เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ของกลุ่มไหน ไม่ใช่ของพวกไหน เพราะฉะนั้น ทุกคนนี่ต้องเอาใจใส่เมืองไทยทุกคน ดังจะเห็นได้ว่า ทิ้งของตามถนนนี่ เป็นอันว่าถนนหลวงแล้วนี่ ไม่ใช่ของใคร อันนี้ยังมีให้เห็นในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ถูกเลย ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบอันเดียวกัน ต้องรู้จักคำว่า บ้านเมืองเป็นของเรา และควรรู้จักการเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มิใช่ว่า เป็นคนนั่งรถติดแอร์ แต่เผลอแป๊บเดียว ไขกระจกทิ้งของออกมาจากรถแล้ว โดยอาจคิดว่าถนนมิใช่ของเรา"

"ถ้าแม้ทุกๆคนผู้เป็นแม่ ช่วยอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าถนนหรือที่ไหนๆ ทุกแห่งเป็นของคนไทย ทุกคนต้องช่วยกันระวังรักษา ก็จะเป็นเรื่องที่ผู้หญิงช่วยสังคมได้มาก ความจริงเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว เพราะเป็นของใกล้ตัว อย่างฉันไม่มีความรู้ทางกฎหมายเลย ทางรัฐศาสตร์ก็ไม่รู้ แต่ก็พอเข้าใจว่า อันนี้แสดงว่าคนไทยรู้จักหน้าที่ของตนหรือยัง แล้วคนไทยบางคนอาจนึกว่า มีคนกวาดขยะแล้วนี่ โธ่ คนกวาดถนนเขาได้เงินเดือนนิดเดียว แต่งานของเขามากเหลือเกิน มันก็ไม่เป็นธรรมแล้ว ถ้าจะทิ้งขยะให้เขากวาดฝ่ายเดียว

ถ้าทุกคนบอกกับลูกว่า ไม่ดีนะลูก ทิ้งของไปตามถนนหนทางนี่ เศษแก้ว เศษอะไรมันเป็นอันตรายกับคนยากจนที่ไม่มีความรู้ว่า ถ้าตะปูตำนี่ มันจะเกิดโรคได้ แล้วถึงตายได้ ถ้าเป็นบาดทะยัก อะไรทำนองนี้ ก็จะช่วยกันได้บ้าง"

 

พระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงใกล้ชิดกับราษฎรในท้องถิ่นห่างไกล บนหน้าปกหนังสือพระราชกระแสฯ

นางสาวอาริยา สินธุจริวัตร ผู้เข้าเฝ้าฯ จากนิตยสาร "สุภาพบุรุษ-ประชามิตร" ในฐานะบรรณาธิการหนังสือ พระราชกระแสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานสัมภาษณ์แก่กลุ่มนักข่าวหญิง เขียนความในใจในตอนท้ายหนังสือว่า ทรงพัฒนาพระองค์เอง

"ตลอดเวลาที่รับพระราชกระแส รู้สึกประหนึ่งต้องมนต์ ด้วยสารัตถะแห่งเรื่องราว ด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนโยนสม่ำเสมอ ทำให้เข้าใจถึงความยากลำบากในการวางพระองค์ ในพระวิริยะอุตสาหะที่ทรงช่วยประชาชนผู้ยากไร้ในถิ่นห่างไกล พระเมตตานั้นแผ่ไปทั่ว ทรงยึดมั่นในสัจจะถึงขั้น ไม่มีลับลมคมนัย"

ส่วนนางจินดา นาคประเสริฐ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กล่าวว่า ทรงเปิดเผยทุกเรื่องที่นักข่าวหญิงอยากทราบ และคิดว่าวันเช่นนี้คงจะมีอีกได้ยาก ได้แต่เก็บความทรงจำอันเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีในวันนั้นไปนานเท่านาน

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog