สถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเซียตะวันออก (ERIA) ระบุ ถ่านหินจะยังเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียในอนาคต
ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน บรรยายพิเศษในงานสัมมนา Create a Batter Social Acceptance for Electric Power Infrastructure Coal-fired Power Plant ระบุ จากที่ได้รับฟังการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานที่เข้าร่วมในงานสัมมนาจาก 4 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ พบว่าแผนการพัฒนาพลังงานของทุกประเทศไม่ได้แตกต่างไปจากประเทศไทย ทั้งการให้ความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของการพัฒนาใน 3 มิติ หรือ 3E ได้แก่ 1.มิติด้านความมั่นคงพลังงาน (Energy Security) 2.มิติด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economy) และ 3.มิติด้านการดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อม (Environment)
ขณะที่ ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สนพ. กล่าวว่า จากรายงานการศึกษาที่จัดทำโดย สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) สหรัฐอเมริกา ระบุว่า การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น จาก 7-8 ล้านล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี พ.ศ.2555 เป็น 10 ล้านล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2583 เนื่องจากทั่วโลกยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิง จะพบว่าสัดส่วนของถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าจะลดลงจาก 40% เหลือ 29% ทั้งนี้ จีนและอินเดีย ยังคงใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ไม่ได้แตกต่างจากปัจจุบัน
นอกจากนี้ รายงานของ EIA ยังพบว่า โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ที่ผลิตจริงในประเทศต่างๆ ทั่วโลกระหว่างปี 2551-2555 มีค่าความพึ่งได้ (Capacity Factor) เพียง 15-20% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือนิวเคลียร์ ที่สูงถึง 60-80% ดังนั้นประเทศต่างๆ จึงยังจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าที่สามารถป้อนกระแสไฟฟ้าได้อย่างมั่นคงสม่ำเสมอตลอด 24 ชั่วโมง อย่างถ่านหินและนิวเคลียร์ต่อไป สิ่งสำคัญ คือการให้เกิดความสมดุลย์และความหลากหลายของการเลือกใช้เชื้อเพลิง เพื่อเพิ่มความมั่นคง สร้างเสถียรภาพและลดความเสี่ยง
ด้านนายชิเกรุ คิมูระ ที่ปรึกษาพิเศษของผู้อำนวยการ กิจการด้านพลังงาน Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA ซึ่งเป็นสถาบันระหว่างประเทศ ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นและอาเซียน ตั้งแต่ปี 2550 กล่าวว่า แต่ละประเทศมีความจำเป็นทางด้านพลังงานที่แตกต่างกัน อาทิ นิวซีแลนด์ อาจไม่มีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากนัก เพราะมีแหล่งพลังงานทดแทนชนิดที่พึ่งพาได้ (Firm RE) คือ พลังน้ำ และพลังความร้อนใต้พิภพ ซึ่งมีอยู่มากภายในประเทศ
ในขณะที่ประเทศไทยและประเทศอาเซียนอื่นๆ อาจไม่โชคดีเหมือนนิวซีแลนด์ที่มีแหล่งพลังงานทดแทนที่พึ่งพาได้มากนัก จึงยังจำเป็นต้องพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าหลัก ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน เพิ่มขึ้น
ดร.เอรี่ พราโบโว ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการที่ 1 บริษัท พีที อินโดนีเซีย พาวเวอร์ กล่าวว่า อินโดนีเซีย มีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มมากกว่า 10,000 เมกะวัตต์ ภายในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ซึ่งใช้งบประมาณในการก่อสร้างมหาศาลและบางประเภท เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ใช้เวลานานในการพัฒนา
นายเอ็ดการ์โด ครูซ ประธานกลุ่มผู้ใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินประเทศฟิลิปปินส์ (Philippine Coal Plant User’s Group) กล่าวว่า ฟิลิปินส์มีโครงการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน จาก 7,300 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน เป็นกว่า 17,000 เมกะวัตต์ภายในอนาคต
และนายวู เวียง ดุง รองผู้อำนวยการศูนย์วิศวกรรมพลังงานนิวเคลียร์และพลังงานความร้อน Power Engineering Consulting Joint Stock Company 2 ประเทศเวียดนาม กล่าวว่า ในอีก 10 ข้างหน้า โรงไฟฟ้าถ่านหินจะยังคงสัดส่วนในการผลิตไฟฟ้าที่สำคัญมากขึ้นในเวียดนามต่อไป