ที่ศาลแขวงดุสิต ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ "ลูกเกด" แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ในฐานะจำเลยที่ 2 ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นให้การนัดพร้อมคู้ความ คดีฉายโฮโลแกรม ในการชุมนุม #ลบยังไงก็ไม่ลืม บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมาว่า
ศาลได้เบิกตัวอานนท์ นำภา ในฐานะจำเลยที่ 1 จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาขึ้นให้การครั้งนี้ด้วย ส่วนตัวได้พบกับอานนท์ ที่จังหวัดเชียงใหม่ และระหว่างตำรวจนำตัวมาที่กรุงเทพฯก่อนถูกฝากขังต่อในคดีชุมนุมอื่นๆ ซึ่งอานนท์มีกำลังใจดี ส่วนคดีฉายโฮโลแกรมนี้ เป็นคดีลหุโทษ เบื้องต้นคิดว่าจะเสียค่าปรับ แต่เป็นจำนวนที่มาก จึงต่อสู้คดี และยังยืนยันในสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก
ลูกเกด ยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้อง โดยยืนยัน 3 ข้อเรียกร้องของคณะราษฎร 2563 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ส่วนการตั้งคณะกรรมการต่างๆของรัฐบาล หรือการเจรจานั้น ย้ำว่า ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาการเมืองในขณะนี้ เพราะมีทางเดียวที่จะแก้ได้คือ ผู้มีอำนาจต้องรับฟังข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมและแสดงความจริงใจขั้นต้นคือ ต้องปล่อยผู้ถูกจับกุมคุมขังไม่ว่าจะเป็นแกนนำ ผู้ปราศรัยหรือผู้ร่วมชุมนุม และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องลาออก จากนั้นค่อยมาพูดคุยกันเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นประชาธิปไตย โดยเลือกตั้ง ส.ส.ร. 100% และต้องพูดคุยเรื่องการปฏิรูปสถาบันด้วย
สำหรับคดีฉายโฮโลแกรม ที่จำลองการอ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 เนื่องในโอกาสครบรอบ 88 ปีอภิวัฒน์สยาม ในการชุมนุม #ลบยังไงก็ไม่ลืม เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นั้นมีผู้ถูกสั่งฟ้องตกเป็นจำเลยที่ 1-7 ประกอบด้วย
(1.) อานนท์ (2) ชลธิชา (3) กรกช แสงเย็นพันธ์ (4) อานันท์ ลุ่มจันทร์ (5) โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ (6) เอฐ์เรียฐ์ ฟอฟิ (7) ปิยรัฐ จงเทพ
ทั้งหมดโดนสั่งฟ้องใน 3 ข้อกล่าวหาหลัก ที่มีเพียงโทษปรับทั้งหมด คือ ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 19, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 กีดขวางทางสาธารณะ และ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 114
ส่วนอานนท์ จำเลยที่ 1 ศาลเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งโดนสั่งฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.โฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง มาตรา 4 เพิ่มอีกข้อหาหนึ่งด้วย และจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา คดีนี้มีกฤษฎางค์ นุตจรัส เป็นทนายความผู้ดูแลคดีของจำเลยทั้งหมด
กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความดูแลคดีและภาวิณี ชุมศรี ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า จำเลยทั้งหมดรับสารภาพ โดยศาลสั่งปรับคนละ 500 บาท ยกเว้น อานนท์ ที่จ่ายค่าปรับ 600 บาทเพราะโดนฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.โฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง มาตรา 4 เพิ่มอีกข้อหา โดยทางอัยการไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์ ซึ่งจากเดิมที่ทางจำเลยต่อสู้คดีเพราะทางตำรวจจะเรียกค่าปรับคนละ 1,000 บาทแต่เพื่อ ลดภาระของศาล จำเลยทั้งหมดจึงรับสารภาพและศาลลดค่าปรับลงครึ่งนึง
ภาวิณี ระบุถึงแนวทางต่อสู้คดีของแกนนำผู้ปราศรัยแล้วผู้ชุมนุม ที่ถูก "จับแล้วปล่อยและจับอีก" ว่า ทีมทนายจะยึดหลักสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิทธิการประกันตัว และสิทธิการแสดงออกที่ชอบด้วยกฎหมายในทุกๆคดี ไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะต่อสู้คดีหรือยอมรับสารภาพโดยเฉพาะในคดีลหุโทษก็ตาม ซึ่งทางทนายความเข้าใจว่า ที่ผ่านมาศาลอนุญาตให้ประกันหรือยกคำร้องฝากขังของตำรวจมาเรื่อยๆ จึงเชื่อว่า คดีของบุคคลที่เหลืออยู่หรือที่ยังถูกคุมขัง ศาลก็จะยึดแนวทางดังกล่าวด้วย
โดยหลังเสียค่าปรับเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ได้นำตัวอานนท์ นำภา ขึ้นรถควบคุมผู้ต้องขังกลับเข้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยนายอานนท์ได้ชู 3 นิ้ว ต่อสื่อมวลชน ผ่านกระจกรถควบคุมตัวผู้ต้องหาด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการขอฝากขังนานอานนท์ ผัด 2 คดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งทีมทนายความเตรียมยื่นคัดค้านและขอประกันตัวตามขั้นตอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง