รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เผยเตรียมผลักดันหน่วยงานรัฐใช้บริการ Data Center/Cloud ของ NGDC เพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อนหลังครม.เห็นชอบให้จัดตั้งบริษัท NBN และ NGDC เป็นรัฐวิสาหกิจ ช่วยฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีโอที กับ บมจ.กสท โทรคมนาคม
นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มติเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 เห็นชอบให้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จัดตั้งบริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด (NBN) และบริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด (NGDC) ตามที่กระทรวงดิจิทัลฯ เสนอ
พร้อมทั้งเห็นชอบ ให้การสนับสนุนการจัดตั้งบริษัท NBN และบริษัท NGDC โดยให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ คำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี ที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทั่วไป รวมถึงการสนับสนุนด้านอื่นๆ เพื่อให้ NBN และ NGDC มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ สามารถแข่งขันกับเอกชนได้ รวมทั้งส่งเสริมให้การดำเนินการของ NBN และ NGDC ในระยะเริ่มต้นสามารถดำเนินการได้อย่างเข้มแข็ง ตลอดจนให้หน่วยงานภาครัฐที่มีแผนหรือโครงการลงทุนในการจัดสร้างหรือมีความต้องการใช้งานบริการ Data Center/Cloud มาใช้บริการของ NGDC โดยให้กระทรวงดิจิทัลฯ พิจารณาในการลงทุนในธุรกิจ Data Center/ Cloud ที่เกี่ยวข้องของภาครัฐ เพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อนและได้ประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐที่ดีขึ้นด้วยนั้น
โดย NBN จะมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจถือหุ้นโดย บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ในการจัดตั้ง บมจ.ทีโอที จะเป็นผู้ถือหุ้น 100 % แล้วจะปรับสัดส่วนการถือหุ้นภายหลังจัดทำการประเมินทรัพย์สินและมูลค่าทางธุรกิจอย่างละเอียด ซึ่งจะจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในชื่อ “บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด” และชื่อภาษาอังกฤษว่า “National Broadband Network Company Limited” โดยจะมีผู้เริ่มก่อการจัดตั้ง NBN จำนวน 3 คน จาก บมจ.ทีโอที มีโครงสร้างคณะกรรมการ NBN เบื้องต้น ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลฯ บมจ.ทีโอที บมจ.กสท โทรคมนาคม และผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม มอบหมาย จากนั้นจะปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริษัทตามสัดส่วนผู้ถือหุ้นในภายหลัง สำหรับทรัพย์สิน ที่ใช้ประกอบกิจการของ NBN ได้แก่ สินทรัพย์ประเภทโครงข่ายหลัก ระบบสื่อสัญญาณ จนถึงข่ายสายตอนนอก เคเบิลใยแก้วนำแสง รวมถึงสินทรัพย์ตามโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ของประเทศ วงเงิน 20,000 ล้านบาท โดย NBN มีรูปแบบธุรกิจเพื่อให้บริการค้าส่งโครงข่ายแก่บริษัทค้าปลีก บรอดแบนด์ (Service Co) ของ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม รวมถึงผู้ประกอบการรายอื่นบนพื้นฐาน Open Access
ส่วน “บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด (NGDC)” มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Neutral Gateway and Data Center Company Limited” โดยจะมีผู้เริ่มก่อการจัดตั้ง NGDC จำนวน 3 คน จาก บมจ.กสท โทรคมนาคม และบมจ.ทีโอที ส่วนโครงสร้างคณะกรรมการ NGDC เบื้องต้นมีจำนวน 3 คน จากกระทรวงการคลัง บมจ.กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทีโอที โดยมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นโดย บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ในการจัดตั้ง บมจ.กสท โทรคมนาคม จะเป็นผู้ถือหุ้น 100 % และจะปรับสัดส่วนการ ถือหุ้นในภายหลังตามสัดส่วนของสินทรัพย์และเงินลงทุน สำหรับทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการ คือ ทรัพย์สิน ที่ถูกใช้งานในกลุ่มธุรกิจ NGN ประกอบด้วย สถานีเคเบิลใต้น้ำ ในประเทศและระหว่างประเทศ เคเบิลภาคพื้นดินระหว่างประเทศ รวมทั้งโครงข่ายขนส่งข้อมูลที่มีการขนส่งข้อมูลทั้งข้อมูลระหว่างประเทศและข้อมูลในประเทศ ส่วนทรัพย์สินประเภทที่ดินกำหนดให้เป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บริษัทแม่ คือ บมจ.กสท โทรคมนาคม หรือ บมจ.ทีโอที
“ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสทฯ เร่งดำเนินการตามขั้นตอนการขอจัดตั้งบริษัททั้ง NBN และ NGDC ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด เพื่อพร้อมให้บริการแก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยกระทรวงดิจิทัลฯ จะได้เตรียมแผนการดำเนินการรองรับด้านการสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐมาใช้บริการของทั้งสองบริษัทต่อไป” รมว.ดิจิทัลฯกล่าว
นอกจากนั้น ครม. ยังมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงดิจิทัลฯ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ดำเนินโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย ตามที่เสนอ ซึ่งโครงการดังกล่าว สสช. จะเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น โดยจะใช้ข้อมูลจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 เป็นกรอบรายชื่อ ในการสำรวจ ทั้งนี้ เพื่อให้มีข้อมูลในการกำหนดนโยบายจัดสวัสดิการช่วยเหลือของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยให้ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และเพื่อให้มีข้อมูลที่สำคัญและจำเป็น ในการติดตามประเมินผลในระยะยาวในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศ ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้นักเรียน/นักศึกษาได้เรียนรู้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชน และมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมได้ต่อไปในอนาคต