น้องชายและน้องสาวของนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง ผู้นำสิงคโปร์ ออกแถลงการณ์ไม่ไว้วางใจพี่ชายตัวเอง ซึ่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของนายลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นบิดา
นายลีเซียนหยาง และนางสาวลีเว่ยหลิง บุตรคนที่ 2 และ 3 ของนายลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อแสดงความไม่ไว้วางใจต่อนายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นพี่ชายของทั้งคู่ โดยเนื้อหาในแถลงการณ์กล่าวว่า นายลีเซียนลุงไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบิดา ซึ่งต้องการให้รื้อถอนบ้านพักเลขที่ 38 บนถนนอ็อกซ์ลีย์ หลังจากที่นายลีกวนยูถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปี 2015
บ้านเลขที่ 38 ถนนอ็อกซ์ลีย์ เป็นที่พำนักดั้งเดิมของตระกูลลี และคำสั่งในพินัยกรรมของนายลีกวนยู ระบุให้รื้อถอนบ้านนี้หลังจากที่เขาถึงแก่อสัญกรรม แต่นายลีเซียนลุงอ้างอิงความเห็นของคณะรัฐบาลสิงคโปร์ว่าควรอนุรักษ์บ้านหลังดังกล่าวไว้ในฐานะมรดกของประเทศชาติ เนื่องจากนายลีกวนยูเป็นทั้งอดีตผู้นำและผู้วางรากฐานการพัฒนาสิงคโปร์หลายๆ ด้านทั้งยังเป็นที่รักของประชาชน และนายลีเซียนลุงเคยระบุว่าด้วยว่านายลีผู้เป็นบิดาคงไม่คัดค้านมติของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ของทายาทตระกูลลีทั้งสองคนยืนยันว่าข้อกล่าวหาที่มีต่อนายลีเซียนลุงผู้เป็นพี่ชาย ไม่เกี่ยวกับมติของรัฐบาลสิงคโปร์ที่เสนอให้อนุรักษ์บ้านเลขที่ 38 เอาไว้ โดยทั้งคู่ระบุว่าเคารพในวิจารณญาณของรัฐบาลสิงคโปร์ แต่พวกเขาสูญเสียความไว้วางใจในตัวนายลีเซียนลุงไปแล้ว และเกรงว่าอาจจะมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองกดดันผู้คัดค้านแผนรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งรวมถึงนายลีเซียนหยางและภริยา
ด้านนายลีเซียนลุงซึ่งเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างประเทศกับภริยาและลูกชาย แถลงตอบโต้น้องชายและน้องสาวของตนเองผ่านทางเฟซบุ๊กเช่นกัน โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ระบุว่าเขาและภริยาต้องการปูทางให้ลูกชายเข้าสู่แวดวงการเมือง พร้อมย้ำว่าในฐานะลูกชายคนโต เขาได้พยายามแก้ปัญหาภายในครอบครัวอย่างเต็มที่ แต่การออกแถลงการณ์ตีแผ่ปัญหาในครอบครัวต่อสาธารณชนเป็นเรื่องน่าผิดหวัง และเป็นการทำลายมรดกทางคำสอนของบิดาอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม 2015 หนังสือพิมพ์สเตรทไทม์สของสิงคโปร์เคยเผยแพร่แบบสอบถามความเห็นประชาชนราว 1,000 คนที่มีต่อบ้านพักของนายลีกวนยู พบว่าร้อยละ 75 ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นควรให้รื้อถอนบ้านพักทิ้ง ตามคำสั่งเสียของนายลี แต่ร้อยละ 25 ระบุว่าบ้านพักดังกล่าวเป็นสมบัติของชาติ ประชาชนสิงคโปร์ควรมีสิทธิ์ที่จะออกความเห็นว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: