นักวิชาการต่างชาติชื่นชมไทย ที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงานได้ประสบความเร็จ แต่ก็บอกว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเร่งผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อลดการกีดกันทางเพศในที่ทำงาน โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ 

นายวิลเลียม เคาลส์เนอร์ ซึ่งเป็นนักวิจัยและศาสตราจารย์วุฒิคุณที่สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าประเทศไทยมีการปฏิรูปด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม หลายอย่างในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะด้านความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากไทยมีอัตราส่วนผู้บริหารหญิงต่อผู้บริหารชาย มากที่สุดเป็นประเทศหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากความเท่าเทียมทางการศึกษาที่ผู้หญิงไทยมีโอกาสทางการศึกษาไม่ต่างจากผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงสามารถทำงานเลี้ยงดูตัวเอง และไขว่คว้าความก้าวหน้าทางอาชีพได้มากขึ้น แต่ว่าไทยก็ยังคงต้องเดินหน้าผลักดันเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงานต่อไป โดยเฉพาะในหน่วยงานของราชการ

ในปี 1990 รัฐสภาของไทย มี ส.ส.ผู้หญิงเพียงร้อยละ 3 จากจำนวน ส.ส.ทั้งหมด  ซึ่งจำนวน ส.ส. หญิงก็ค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ว่าสัดส่วน ส.ส.ผู้หญิง ต่อ ส.ส.ผู้ชาย ก็ไม่เคยเพิ่มจำนวนเกินร้อยละ 20 และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่คสช.ยึดอำนาจ จำนวนสนช. ซึ่งทำหน้าที่แทนส.ส. ก็เป็นผู้หญิงเพียงแค่ 13 คน จากจำนวนทั้งหมด 250 คน ขณะที่ในหลายๆหน่วยงานของภาครัฐ ที่แม้จะมีการรับผู้หญิงเข้าทำงานมากขึ้น แต่ก็ยังมีตำแหน่งที่สงวนไว้ให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น

แม้รัฐบาลไทยจะมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างได้ผลเท่าไร เช่นเมื่อเกิดความรุนแรงในครอบครัว หรือภรรยาถูกสามีทำร้าย ตำรวจก็มักจะให้สามีภรรยาไปปรับความเข้าใจกันเอง ขณะที่กฎหมายป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานก็ยังมีข้อจำกัดอยู่อีกมาก  ซึ่งรัฐบาลควรจะทำงานร่วมกับกลุ่ม NGO ต่างๆ เพื่อดำเนินการให้มีการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศให้เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ นอกจากนี้ ยังพบว่าในเขตชนบทของไทย ยังคงมีปัญหาด้านความไม่เท่าเทียมทางเพศอยู่ ซึ่งรัฐบาลควรเร่งแก้ไขด้วยการส่งเสริมให้คนชนชทเข้าถึงการศึกษาได้มากกว่านี้