“Back to School : สร้างปัญญา เพื่ออนาคต”  ประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2560

ในวงการสตาร์ทอัพ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก "กระทิง" เรืองโรจน์ พูนผล เจ้าของฉายา Godfather of Thai Startup ผู้ก่อตั้ง Disrupt University โรงเรียนสอนนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ และผู้จัดการกองทุน 500 TukTuks รวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้กับซีอีโอธนาคารต่างๆ แต่กว่าที่เค้าจะก้าวมาถึงวันนี้ มีจุดเริ่มต้นและกำหนดเป้าหมายเส้นทางชีวิตอย่างไร 

กว่า 5 ปี ที่เรืองโรจน์ พูนผล หรือ “กระทิง” กลับมาทำงานเมืองไทย ตารางชีวิตแต่ละวันของชายวัย 40 ปีคนนี้ ก็ไม่เคยว่างเว้น เค้าถูกเชิญให้ถ่ายทอดประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจ ในแวดวงธุรกิจ เทคโนโลยีและการศึกษาจำนวนมาก

กระทั่งถึง เวทีระดับโลกที่เป็นความภูมิใจสูงสุด คือรัฐบาลสหรัฐฯ เชิญเค้าไปพูดบนเวที Global Domination Summit เวทีเดียวกับประธานาธิบดีโอบามา และผู้ก่อตั้งอูเบอร์ อินสตาแกรม แอร์บีเอ็นบี และล่าสุดย���งคว้าตำแหน่ง Thailand's Business Man of The Year 2016

โปรไฟล์ชีวิตที่ไม่ธรรมดากับ 7 ปี ที่เคยโลดแล่นใน Silicon Valley ดินแดนในฝันของเหล่าผู้สนใจนวัตกรรมและเทคโนโลยี ในตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด(Global Lead Marketing Manager) ดูแล Google Earth/Ocean/Moon/Mars/Sky และเป็นผู้นำทีมกลยุทธ์ด้านการตลาดของ Google Earth Worldwide ทั้งหมด อีกทั้งได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองที่ Silicon Valley จนประสบความสำเร็จสร้างแอปพลิเคชันสำหรับไอโฟน ที่ติด 1ใน 10 ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สุดในอเมริกาและยุโรป

“กระทิง” ณ วันนี้ เป็น Role Model ของเด็กไทยและกลุ่มคนรุ่นใหม่ จนได้รับฉายา Godfather of Thai Startup หรือ เจ้าพ่อสตาร์ตอัพเมืองไทย

“เบื้องหลังความสำเร็จของงาน ถูกขับเคลื่อนด้วยการศึกษาเสมอ” แม้ว่าจะเรียนจบจากสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยด้านบริหารธุรกิจ 1 ใน 2 ของโลก แต่จุดเริ่มต้นของเค้ามาจากโรงเรียนวัดคูยาง จังหวัดกำแพงเพชร ในครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่ความไม่ธรรมดาของกระทิง เกิดขึ้นจากการค้นพบตัวเองตั้งแต่ประถม ว่าชอบวิทยาศาตร์แกะเศษเหล็กจากจักรยานมาทดลอง เพราะฝันว่าอยากเก่งเหมือนอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จนเริ่มฉายแววเมื่อเข้าโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม ได้เหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิก  เหรียญทองแดงคณิตศาสตร์โอลิมปิก

สู่เกียรตินิยมอันดับ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ปริญญาโท ด้านการตลาดภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่เค้าก็ต้องการให้ระบบการศึกษาไทย พัฒนาไปได้ไกลและเท่าเทียมกว่านี้

ความฝันผลักดันให้เกิดความพยายาม จากไม่เก่งภาษาอังกฤษ เค้าฝึกฝนด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้ายทุกฉบับ เป็นเวลา 2 ปีเต็ม จนสื่อสารได้คล่องแคล่ว และเมื่อโลกหมุนเร็วขึ้นเค้ามองว่า ภาษาที่สาม และภาษาคอมพิวเตอร์ มีความจำเป็นในยุคดิจิทัล

แม้ว่า “เพียงปลายนิ้วสัมผัส” กับโอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งความรู้ในปัจจุบัน นำมาสู่ความได้เปรียบของเด็กยุคใหม่ที่จะประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าคนยุคก่อน แต่เจ้าพ่อสตาร์ทอัพ มองว่า การอ่านหนังสือยังมีความสำคัญ เพราะทำให้มีสมาธิ

เช่นเดียวกับสูตรสำเร็จ 3 อย่างที่เจ้าพ่อสตาร์ทอัพ บอกว่าจะประสบความความสำเร็จระดับโลกนั้นไม่ยาก หากฝันให้ไกล สู้อย่างหนัก และอย่ายอมแพ้