ปตท.สผ.พร้อมสู้คดีอินโดนีเซียฟ้องเรียกค่าเสียหาย เหตุน้ำมันรั่วแหล่งมอนทารา ทะเลติมอร์ เมื่อปี’52 ลั่นระหว่างนี้ ต้องระงับโครงการลงทุนในอินโดฯ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาออกไป
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า บริษัท และ PTTEP Australasia (Ashmore Cartier) หรือ PTTEP AA ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ในฐานะผู้รับสัมปทานและผู้ดำเนินการโครงการมอนทารา ยังไม่ได้รับเอกสารเกี่ยวกับการฟ้องร้องค่าเสียหายจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของแหล่งมอนทาราในทะเลติมอร์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2552 อย่างเป็นทางการจากรัฐบาลอินโดนีเซีย จึงไม่ทราบรายละเอียดของการยื่นฟ้องครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม บริษทได้เตรียมความพร้อมในการต่อสู้คดีไว้แล้ว ซึ่ง ปตท.สผ.และ PTTEP AA มีความเชื่อมั่นในผลการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและพร้อมที่จะพิสูจน์ว่าไม่มีความเสียหายตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลอินโดนีเซีย และที่ปรึกษากฎหมายได้ให้เห็นเบื้องต้นว่าการยึดทรัพย์สินของ ปตท.สผ.และ PTTEP AA ไม่สามารถกระทำได้ตามหลักกฎหมาย
"เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลขึ้นในปี 2552 PTTEP AA ในฐานะผู้รับสัมปทานและผู้ดำเนินการโครงการมอนทารา ได้ประสานงานกับรัฐบาลออสเตรเลียทำการจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระด้านสิ่งแวดล้อมทำการศึกษา วิจัย ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการรั่วไหลของน้ำมัน ผลการศึกษาสรุปได้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพทั้งในน่านน้ำออสเตรเลียและและบริเวณใกล้เคียงน่านน้ำอินโดนีเซียแต่อย่างใด" นายสมพร กล่าว
นอกจากนี้ นายสมพร ยังกล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ ปตท.สผ.มีกลยุทธ์ในการเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ปตท.สผ.จำเป็นต้องระงับการตัดสินใจการลงทุนในโครงการที่ศึกษาไว้ในปัจจุบันออกไปก่อน จนกว่าจะมีข้อยุติในเรื่องนี้
สำหรับการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียนั้น ปัจจุบัน บริษัท PTTEP Netherlands Holding Cooperatie U.A. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ.มีโครงการผลิตปิโตรเลียม จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการนาทูน่า ซี เอ โดยถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 11.5 มีปริมาณการชายก๊าซธรรมชาติประมาณ 224 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และน้ำมันดิบประมาณ 1,200 บาร์เรล/วัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 1 ของปริมาณการขายทั้งหมดของ ปตท.สผ.