หายไปหลายปีเธอกลับมาแล้ว "ป้าเช็ง" ต้นตำรับน้ำหมักชีวภาพ ในวันที่เข้ารายงานตัวกับดีเอสไอ ในฐานะผู้ให้เช่าพื้นที่ตลาดหน้าวัดธรรมกาย
สัก 6 - 7 ปีก่อนไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ "ป้าเช็ง" หรือ นางศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ เจ้าของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่อง "ซุปเปอร์เช็ง" เจ้าของตำรับ "น้ำมหาบำบัด" อ้างรักษาได้สารพัดโรค และ"น้ำเจียระไนเพชร"ที่อวดอ้างสรรพคุณครอบจักรวาล โด่งดังถึงขนาดได้ออกรายการ "เจาะใจ" ในฐานะผู้สูงวัยที่เป็นเจ้าของธุรกิจหลักสิบล้านบาท
จาก "น้ำหมักมหัศจรรย์"สู่ทัณฑสถานหญิง
จุดเปลี่ยนของป้าเช็ง คือการที่มีคนร้องเรียนว่าได้ใช้น้ำหมักชีวภาพของป้าเช็งแล้วได้ผลข้างเคียง เพราะนำไปหยอดตาแล้วทำให้ตาบอด โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขขณะนั้น ระบุว่าผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบ "น้ำมหาบำบัด" และ "น้ำเจียระไนเพชร" มีสภาพเป็นกรด หากนำไปหยอดตาจะทำให้เกิดอาการแสบร้อน และหากเป็นกรดที่มีความรุนแรงอาจทำให้เลนส์ตาได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังพบเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนทั้ง 2 ส่วน
ทำให้เกิดการเข้าจับกุมป้าเช็ง ในปลายเดือนมกราคม 2553 หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แจ้งความดำเนินคดี ในข้อหาเป็นผู้ผลิตน้ำหมักชีวภาพ โดยอวดอ้างสรรพคุณว่าใช้เป็นยาหยอดตา ในข้อหาจำหน่ายและโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต และโฆษณาเกินจริงและถูกตัดสินจำคุก18 เดือนเมื่อปี 2555 เพราะมีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีเพิ่มเติม รวมเป็น 5 คดี
หลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเนื่องจากประพฤติปฏิบัติดี จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เพราะภายหลังที่ราชกิจจานุเบกษาได้ลงประกาศพระราชกฤษฎีกาลงวันที่ 30 มีนาคม 2558 เรื่องพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทัณฑสถานหญิงกลางมีผู้ต้องขังหญิงที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับการอภัยโทษ และถูกปล่อยตัวในวันนี้จำนวน 99 ราย โดยหนึ่งในนั้นมี น.ส.ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ หรือป้าเช็ง อายุ 74 ปี (อายุขณะนั้น)
"ป้าเช็ง"และชีวิตทางการเมือง
เมื่อออกจากเรือนจำป้าเช็งผันตัวไปทำธุรกิจตลาดให้เช่าพื้นที่บริเวณ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีใกล้กับวัดพระธรรมกาย และสนับสนุนการตั้งพรรคการเมือง“พรรคพัฒนาคุณภาพชีวิต” ให้เป็นพรรคของชาวหมัก โดยส่งคนลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อปี 2549 เคยมีปัญหาการเมืองกับ "นิติภูมิ นวรัตน์" เมื่อครั้งลงสมัคร ส.ว.กรุงเทพ โดยมีการเปิดเผยคลิปเสียงการสนทนาระหว่างป้าเช็งและนิติภูมิทำนองว่านายนิติภูมิติดหนี้ ซึ่งนิติภูมิยอมรับว่าเคยทำธุรกิจร่วมกับป้าเช็งจริง ในบริษัท บาลานซ์ฟิล์ม และ บาลานซ์สตาร์ แต่อยู่ด้วยกันเพียง 3 เดือนก็เกิดและเกิดการขัดแย้งจึงขายธุรกิจทั้งหมด และแจ้งความหมิ่นประมาทกับผู้นำคลิปเสียงมาเปิดเผย
จนเมื่อ 3 มีนาคม 2560 ชื่อของป้าเช็งกลับมาเป็นที่สนใจของสื่อฯอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ร่วมกับตำรวจและทหาร เข้าควบคุมตัวกลุ่มบุคคลจำนวน 20 ราย ในจำนวนนี้มี 6 ราย เป็นชาวต่างด้าว รวมถึงพระภิกษุและสามเณร อีกจำนวน 11 รูป จากตลาดป้าเช็ง ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมนุมของวัดธรรมกาย
และหลังจากมีการเรียกให้รายงานตัวที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 ป้าเช็งก็มาตามนัด โดยชี้แจงว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ และขอยืนยันว่าไม่ได้อนุญาตให้พระและลูกศิษย์วัดธรรมกายเข้ามาชุมนุมในพื้นที่ เพียงแต่ศิษย์ธรรมกายได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขอเช่าตลาดเพื่อทำบุญข้าวพระ หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้ติดต่อใครได้เลยเพราะโทรศัพท์เสีย จนกระทั้งเมื่อวันที่ 6 มีนาคมตนได้รับหมายเรียกมาให้ปากคำก็เพิ่งทราบเรื่อง
ป้าเช็งยังชี้แจงว่า สื่อมวลชนไม่ควรทำข่าวแบบเอามันยุยงให้คนทะเลาะกัน ตนนับถือทุกศาสนาและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินจำนวน 10 ล้านบาทในบัญชีของ พระเสถียร คำบ่อที่ถูกเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน และตนไม่เคยร่วมชุมนุมกับศิษย์วัดธรรมกายแต่อย่างใด
นี่คือชีวิตของ "ป้าเช็ง" หนึ่งในชีวิตที่โลดโผนที่สุดของคนในวัย 70 ปลายๆ น่าจะให้ทั้งอุทธาหรณ์ การให้สติและบทเรียนชีวิต