ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจชี้ ไม่มีแสงสว่างเรื่องการปรองดอง เพราะคู่ขัดแย้งผันตัวมาเป็นกรรมการ ระบบยุติธรรมล้มเหลว และประชาชนไม่หยัดยืนเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตัวเอง
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้บริหารเครือไทยซัมมิท หนึ่งในผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ เผยมุมมองที่ไม่มีความหวังมากนักต่อกระบวนการปรองดอง การพัฒนาเศรษฐกิจ และประชาธิปไตยในประเทศไทย ธนาธร ให้สัมภาษณ์ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผ่านรายการ Big Dose วันที่ 4 มี.ค. ถึงโครงการปักธงที่ขั้วโลกใต้ ในฐานะที่เป็นหมุดหมายความท้าทายล่าสุดของเขา ซึ่งวางแผนไว้ว่าจะทำให้เป็นจริงได้ในเดือน พ.ย. ปี 2561 แต่เมื่อถามถึงความหวังเกี่ยวกับประเทศไทย ที่อยู่ในกระบวนการปรองดอง ธนาธรไม่มีความหวังมากนัก “จริงๆ ผมคิดว่าถ้ามีโอกาส มีทางเลือก หลายๆ คนก็น่าจะหาโอกาสไปต่างประเทศบ้างแล้ว เพราะประเทศไทยทุกวันนี้ต้องเรียนจริงๆ ว่าความหวังที่จะเห็นสังคมไทยก้าวไกลทั้งด้านการพัฒนาสังคม เรื่องสิทธิมนุษยชนก็ดี เรื่องเศรษฐกิจก็ดี ....มีน้อยมาก” ธนาธรกล่าว
และตอบอย่างแทบจะทันทีเมื่อถูกถามถึงแสงสว่างที่ปลายทางของกระบวนการปรองดองว่า “ไม่มีทาง” ด้วยเหตุผลสอง-สามประการ ประการแรก เขาเชื่อว่าการปรองดองไม่สามารถดำเนินไปได้ด้วยการเอาคู่ขัดแย้งทางการเมืองมาเป็นกรรมการ “ประการที่สอง ถ้าเราจะอยู่กันได้อย่างสันติ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความยุติธรรม ปัญหาก็คือกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดของประเทศไทยที่เกี่ยวกับคดีการเมืองที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ มันบิดเบี้ยวและมันพังทลายไปทั้งหมด ตราบใดที่เรายังไม่สามารถเอาผู้พิพากษา หรืออัยการ หรือ สตง. หรือ ปปช. ที่สั่งตัดสินผิด เอามาลงอยู่ในกระบวนการยุติธรรมได้...(สันติ) ไม่เกิด”
จะมีการเลือกตั้ง จะอยู่กันได้ จะไม่มีม็อบ จริงหรือ มองไปที่อนาคต เขายังคงใส่เครื่องหมายคำถามเอาไว้ ว่าสังคมไทยจะคลี่คลายอยู่กันได้แบบไม่ขัดแย้งจริงหรือไม่ และสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะหวนคืนมาได้อย่างไร หากไม่มีการยืนยันสิ่งนั้นจากตัวประชาชนเอง “ถ้าเราดูการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย และการยอมรับสิทธิมนุษยชนของสังคมทั่วโลก ไม่มีกระบวนการนี้ที่ได้มาจากการร้องขอ ไม่มีกระบวรการนี้ที่ได้มาจากการหยิบยื่นให้ กระบวนการทั้งหมดต้องมาจากการเรียกร้องของประชาชน”..... “ไม่มีสังคมไหนที่ได้เรื่องหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชน หรือหลักประกันทางด้านประชาธิปไตยของสังคมที่ได้มาฟรี ทุกสังคมทุกประเทศ ผ่านการต่อสู้ ผ่านการเรียกร้องของประชาชนทั้งหมด ปัญหาของประเทศไทยก็คือ ตราบใดที่ประชาชนไม่ยืนยันในเรื่องเหล่านี้ เราไม่ได้มาหรอก”
ธนาธร ทิ้งท้ายการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเมืองไทยซึ่งเขาไม่ทำบ่อยนัก ว่าที่สุดแล้วเขาเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เพิ่งผ่านประชามติคือระเบิดเวลา รอให้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งชนกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ช้าก็เร็ว ขณะที่กระแสโลกที่เราได้เห็นว่าผู้นำที่มีลักษณะอำนาจนิยมกำลังขึ้นสู่อำนาจลามเป็นโดมิโนเช่นนี้ สะท้อนความพ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจต่อโลกาภิวัฒน์ ซึ่งอันตรายที่สุดของการมีผู้นำที่มีลักษณะอำนาจนิยม รวมถึงกรณีของไทย ซึ่งผู้นำเน้นเรื่องชาตินิยมมาสนับสนุนการดำรงอยู่ในอำนาจของตนเองนั้นคือการทำลายระเบียบโลก ไม่มีคนปกป้องเรื่องสิทธิมนุษยชน แล้วถ้าระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการละเมิดสิทธิมนุษชน ก็คืออันตรายที่รอเราอยู่ข้างหน้า “ปัญหาของการเรียกร้องชาตินิยมหรือเอาเรื่องชาตินิยมเป็นตัวตั้งในโลกสมัยใหม่แบบนี้ ชาตินิยมตอบสนองต่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำ ชนชั้นสูงหรือชนชั้นนำในประเทศนั้นๆ เท่านั้นเอง เวลาเราพูดถึงชาตินิยมรวมถึงประเทศไทย เวลาเราพูดว่าชาติในประเทศไทยมันไม่เคยมีประชาชนอยู่ในนั้น มันอันตราย ถ้าเราย้อนไปดูสงครามโลกครั้งที่ 2 เมล็ดพันธุ์แรกที่หว่านลงไปในสงครามก็คือเมล็ดพันธุ์เรื่องชาตินิยม คุณพูดเรื่องชาตินิยมเมื่อไหร่ ท้ายที่สุด ultimately มันนำไปสู่สงคราม”
ติดตามการสัมภาษณ์เต็มๆ โดยคุณปลื้ม ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ทางรายการ Big Dose ตอน “พิชิตขั้วโลกใต้กับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”
ย้อนอ่านตอนที่ 1:ผจญภัยขั้วโลกใต้ และการปรองดอง กับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตอนที่ 1