หลังมีการประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ก็ถึงเวลาที่แต่ละพรรคการเมืองจะต้องออกมาแสดงวิสัยทัศน์และนโยบายของพรรคเพื่อหาเสียงอย่างเต็มตัว ในงานสัมมนาหัวข้อง 'นโยบายเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยภายใต้รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง' จัดโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO
นับเป็นครั้งแรกๆ ที่ตัวแทนจาก 7 พรรคการเมือง หัวขบวนด้านเศรษฐกิจมานั่งอยู่ร่วมกัน และโชว์วิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ-ตลาดทุน โดยมี 'ไพบูลย์ นลินทรางกูร' ประธานกรรมการ FETCO เป็นผู้ดำเนินรายการ
ส่วนตัวแทนจาก 7 พรรคการเมือง ประกอบด้วย สัมพันธ์ แป้นพัฒน์ รองหัวหน้า พรรคชาติไทยพัฒนา, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษา พรรคชาติพัฒนา, พิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคไทยรักษาชาติ, กรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการคณะนโยบายพรรคประชาธิปัตย์, อุตตม สาวนายน หัวหน้า พรรคพลังประชารัฐ, กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้า พรรคเพื่อไทย และ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
เศรษฐกิจไทยใน 4 ปีข้างหน้า หากอนาคตตกอยู่ในมือแต่ละพรรค
เมื่อแต่ละพรรคต้องตอบว่าพรรคของตนมองอนาคตเศรษฐกิจและตลาดทุนประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าอย่างไรบ้าง พร้อมนำเสนอนโยบายที่จะมาช่วยสนับสนุนภาพการคาดการณ์เหล่านั้น คำตอบจากทั้ง 7 พรรคมีทั้งความเหมือนที่ทับซ้อนกันและความต่างที่ห่างไกลกัน
สำหรับพรรคชาติไทยพัฒนา 'สัมพันธ์ แป้นพัฒน์' กล่าวว่า ประเด็นที่มองเห็นเป็นหลักชัยว่าต้องเอาชนะให้ได้คือการลดความเหลื่อมล้ำ สำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางจนถึงต่ำและผู้ที่มีรายได้สูง ในสัดส่วนของผู้ที่ประสบปัญหากับความเหลื่อมล้ำนั้น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ เกษตรกร มนุษย์เงินเดือน และผู้สูงอายุ
จึงต้องการย้ำว่า อยากให้ตลาดทุนกลายเป็นแหล่งทุนของประชาชนทุกภาคส่วน ไม่ใช่ติดกับแนวคิดเดิมว่าตลาดทุนเป็นของคนรวยเท่านั้น
ด้านนโยบายที่มาสอดรับสนับสนุนกับภาพในอนาคตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนมหภาค โดยเน้นที่ 3 ปัจจัยคือ (1) ลดต้นทุนการผลิต (2) กระตุ้นภาคการท่องเที่ยว (3) แก้ปัญหาความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย
ขณะที่ส่วนจุลภาค จะเน้นไปที่การสนับสนุนให้ตลาดทุนเปิดรับธุรกิจเกษตรให้เข้ามาระดมทุนในระบบ รวมถึงการเพิ่มการสนับสนุนผู้ประกอบการโรงแรมเดี่ยวๆ ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ
ขณะที่ 'สุวัจน์ ลิปตพัลลภ' ประธานที่ปรึกษา พรรคชาติพัฒนา บอกว่าแนวทางด้านเศรษฐกิจและตลาดทุนของพรรคมี 3 ประการคือ (1) ด้านมหภาค เน้นการสร้างภูมิคุ้มกันจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ (2) แก้ปัญหาคาราคาซังของรากหญ้าไทย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมรวมถึงภาควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (3) ขยายตลาดทุนทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ
ส่วนนโยบายก็มี 3 ประการหลักเช่นกัน สำหรับประการแรกในการช่วยเหลือรากหญ้า จะให้ความสำคัญแก่ภาคเกษตรโดยนำเสนอการจัดโซนทำเกษตรกรรม ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น ด้วยงานวิจัยและเทคโนโลยี อีกด้านหนึ่งคือภาคการท่องเที่ยวที่พรรคมองว่าจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการกระจายรายได้ของประชาชนอย่างทั่วถึง
ประการที่สองคือการแก้ปัญหาความยากจนในภาคอีสาน โดยพรรคมองว่าด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์ แท้จริงแล้วภาคอีสานมีศักยภาพในการเชื่อมต่อกับต่างประเทศอีกมากเช่น การเชื่อมต่ออินโดจีน หรือ เส้นทางสายไหมใหม่ หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมต่อระบบการขนส่งเหล่านี้ ภาคอีสานจะกลายเป็นแหล่งพัฒนาเศรษฐกิจไทยใหม่
ประการสุดท้ายคือการก้าวให้ทันเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาชาติ สุวัจน์ทิ้งทายว่าสำหรับตลาดทุน ธรรมาภิบาล การเข้าถึง และการเปิดกว้างคือคำตอบสำหรับการพัฒนา
'พิชัย นริพทะพันธุ์' คณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า การรับมือกับปัญหาต่างๆ ทั้งการเข้ามาแทรกแซงของเทคโนโลยี ปัญหาภายใน และความฝันที่จะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนคือสิ่งที่พรรคไทยรักษาชาติอยากจะนำพาประเทศไทยไป สำหรับแนวทางการดำเนินนโยบายจะเน้นไปที่ภาคบริการ โดยมีความพยายามในการถ่ายคนจากภาคเกษตรและอุตสาหกรรมมายังภาคบริการมากขึ้น และเตรียมพร้อมในการเจรจากับต่างประเทศในด้านการค้า รวมทั้งเข้ามาดูแลนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
"ประเทศไทยยังปรับตัวเรื่อง(เทคโนโลยี)น้อย เห็นเป็นเรื่องไกลตัว ถ้าเราไม่สามารถปรับตัวรับทัน ก็จะเป็นปัญหาของประเทศได้ ผมอยากเห็นการปรับตัวเพราะไทยเราล่าช้ามานาน” พิชัยกล่าว
ส่วน 'กรณ์ จาติกวณิช' ประธานกรรมการคณะนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ นำเสนอ 5 ประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์ มองสำหรับตลาดทุนคือ (1) เพิ่มดัชนีตลาดหุ้นให้ขึ้นมาอยู่ที่ 2,500 จุด (2) เพิ่มสัดส่วนบริษัทจดทะเบียนที่มีการค้ากับต่างประเทศ (3) เพิ่มสัดส่วนบริษัทด้านเทคโนโลยี (4) เพิ่มศักยภาพบริษัททั่วไปที่ไม่ได้มีการผูกขาดตลาด (5) สนับสนุนเทคโนโลยีด้านฟินเทค
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า เขาย้ำว่า ต้องขยายตัวดี มีกฏกติกาชัดเจน การพัฒนาลงไปถึงระดับครัวเรือน และย้ำถึงการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)
"ในภาพรวม เราจะต้องเป็นเศรษฐกิจที่ทำตัวให้เป็นศูนย์กลางของซีแอลเอ็มวีให้ได้ เพราะนั่นคือโอกาสและจุดแข็งของประเทศ” กรณ์ กล่าว
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเลือกใช้สโลแกน 'แก้จน สร้างคน สร้างชาติ’ เป็นแนวทางหลักในการดำเนินนโยบาย โดยเริ่มจากการประกันรายได้ทั้งในภาคเกษตรที่ประชาธิปัตย์เคยทำสมัยเป็นรัฐบาล แต่ครั้งนี้จะเพิ่มการประกันรายได้เข้าไปสำหรับผู้ใช้แรงงานด้วย โดยตั้งตัวเลขรายได้ไว้ที่ 120,000 บาทต่อปี
อีกทั้งยังมีนโยบายสนับสนุนการผลิตในส่วนของที่ทำกินและแหล่งน้ำ
ด้านการสร้างคน กรณ์กล่าวว่าจะต้องเน้นไปที่การเพิ่มทักษะที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะภาษาอังกฤษรวมถึงการแก้ปัญหายาเสพติด ประเด็นสุดท้ายการกระจายอำนาจทั้งปกครองและบริหาร คือหัวใจของการสร้างชาติสำหรับพรรคประชาธิปัตย์
แล้วดูเหมือนว่าพรรคพลังประชารัฐจะให้ความสำคัญกับตลาดทุนค่อนข้างมาก โดยเน้นไปที่การทำให้ตลาดทุนเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ของทุกคน รวมไปถึงการทำให้ตลาดทุนสามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ และมีการเติบโตอย่าง 'ยั่งยืน’
'อุตตม สาวนายน' หัวหน้า พรรคพลังประชารัฐ ชี้ว่า เป็นเรื่องยากที่จะมากล่าวเดี่ยวๆ เพราะนโยบายเศรษฐกิจควรยึดโยงกับภาคต่างๆ โดยแบ่งพันธกิจออกเป็น 3 ส่วนคือ สวัสดิการประชารัฐ เศรษฐกิจประชารัฐ และสังคมประชารัฐ
เขาย้ำว่าสวัสดิการไม่ใช่การแจกเงิน แต่เป็นการให้สิ่งที่ประชาชนควรได้รับอยู่แล้ว อาทิ หลักประกันรายได้ การเข้าถึงสาธารณสุข และการศึกษา สำหรับเศรษฐกิจประชารัฐคือการสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ให้ก้าวทันโลกภายนอก โดยการใช้เทคโนโลยีและความรู้ต่างๆ เข้ามาเสริม รวมถึงการกระจายความเจริญสู่ทุกภูมิภาคและจังหวัดทั่วไทย โดยยกตัวอย่างว่า ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีแค่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี จะมีที่ภาคไหนหรือจังหวัดไหนก็ย่อมได้
ท้ายสุดคือเรื่องสังคมประชารัฐที่มีความคล้ายคลึงกับของพรรคประชาธิปัตย์ในการสนับสนุนทักษะของประชาชน
ส่วนพรรคเพื่อไทยมองอนาคตเศรษฐกิจและประเทศตั้งอยู่บนความสมดุลของการเติบโต เสถียรภาพ และการกระจายรายได้
'กิตติรัตน์ ณ ระนอง' รองหัวหน้า พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะที่วางนโยบายการแก้ไขปัญหาเป็น 4 ด้านคือ (1) ด้านการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยชี้ว่าควรมีการจัดการกับกระทรวงที่จะมาดูแลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว เพราะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึงร้อยละ 22 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี (2) การลงทุนภาคเอกชน โดยการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติและสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตภายในประเทศเป็นหลัก (3) อุดหนุนการบริโภคของประชาชนด้วยการเปิดรับข้อเท็จจริงว่าการที่ประเทศไทยยังมีค่าแรงถูกนั้นทำให้ความสามารถในการบริโภคของประชาชนมีน้อย (4) ควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลโดยเรียงจากเรื่องที่มีความสำคัญก่อน
"ขณะนี้ดูเหมือนเราจะเสียสมดุลในเรื่องของการบริหารเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการกระจายรายได้ จนทำให้เราต้องแก้ไขอย่างจริงจัง” กิตติรัตน์ กล่าว
สำหรับพรรคภูมิใจไทย 'อนุทิน ชาญวีรกูล' หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มองว่าไม่มีปัญหาเศรษฐกิจใดจะสำคัญเกินกว่าปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนอีกแล้ว อีกทั้งก็ต้องการส่งเสริมให้ภาคประชาชนมองตลาดทุนเป็นการออมอย่างหนึ่ง ส่วนนโยบายที่พรรคเน้นคือ การขจัดมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจที่ตั้งอยู่บน 'ดุลยพินิจ’ ของผู้มีอำนาจออกไป ให้ไปขึ้นอยู่บน 'เงื่อนไข’ แทน โดยใช้สโลแกนว่า 'ลดอำนาจรัฐ เพื่อปากท้องประชาชน’ ทั้งยังมีแนวทางด้านงบประมาณของภาครัฐคล้ายกับของพรรคเพื่อไทย คือให้เริ่มจากการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
จะทำอย่างไรเมื่อประเทศไทยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ
สำหรับคำถามนี้ทุกพรรคมีความเห็นร่วมกันอยู่หนึ่งประเด็นคือ กฏหมายไม่ควรกำหนดคนสูงอายุด้วยวัย 60 ปี เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์พัฒนาไปมากแล้ว อีกทั้งประชาชนยังตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ จึงทำให้ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังสามารถทำงานได้อย่างไม่มีข้อบกพร่องใด
อย่างไรก็ดี แต่ละพรรคก็นำเสนอวิธีการดูแลบรรดาผู้สูงอายุต่างกันออกไป 'พรรคเพื่อไทย' เลือกเน้นไปที่การออมของรัฐเพื่อสนับสนุนประชาชน โดยแนะแนวทางในการร่วมมือกับเอกชนเพื่อปลูกไม้มีค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว เพราะปัจจุบันนี้ นอกจากภาคประชาชนจะมีการออมเงินต่ำแล้ว ภาครัฐก็มีการออมเงินต่ำเช่นเดียวกัน
ส่วน 'พรรคพลังประชารัฐ' ออกมาสนับสนุนความเห็นด้านการออมของพรรคเพื่อไทย พร้อมเสนอการลดความเหลื่อมล้ำของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
'พรรคประชาธิปัตย์' อยากจะรื้อฟื้นกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กลับมาอีกครั้งเพื่อเข้ามารองรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ โดยประชาธิปัตย์มองว่า การดูแลสังคมผู้สูงอายุนั้น ไม่ควรใช้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมดสำหรับผู้สูงอายุทุกคน เพราะแต่ละคนต้องการความช่วยเหลือที่ต่างกันออกไป
'พรรคชาติพัฒนา' เน้นใช้แรงจูงใจจากการลดหย่อนภาษีเข้ามาสนับสนุน โดยยกตัวอย่างว่า หากบริษัทเอกชนอนุญาตให้ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปทำงานต่อ จะสามารถยื่นหักลดภาษีได้เพิ่มเติม เพราะพรรคมองว่าคนในวัย 60 ปีนั้น ยังมีความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ที่ไม่ควรทิ้งเปล่าไป แต่ควรจัดระบบให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานร่วมกับคนหนุ่มสาวได้ ส่วน 'พรรคไทยรักษาชาติ-พรรคภูมิใจไทย และชาติไทยพัฒนา' เน้นไปที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมารองรับผู้สูงอายุ
การสัมนาครั้งนี้ปิดท้ายด้วยคำถามที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ถามตรงๆ เข้าเป้าให้ฟังกันชัดๆ ว่า แล้วประเด็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่กำลังจะหมดอายุใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาผู้มีเงินได้ "แต่ละพรรคหากได้เป็นรัฐบาลจะต่อแอลทีเอฟหรือไม่"
คำตอบของทุกพรรคเป็นในทางเดียวกัน คือสนับสนุน LTF โดยมองว่าเป็นการช่วยให้ประชาชนออมและมีเงินเข้าตลาดทุนผ่านกองทุนต่างๆ
ทัศนะด้านเศรษฐกิจและตลาดทุนที่พูดคุยบนเวที FETCO วันนี้ (25 ม.ค.) จึงเป็นครั้งแรกๆ ที่แต่ละพรรคได้ออกมาพูดถึงวิสัยทัศน์และจุดยืนด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่านโยบายของบางพรรคมีความชัดเจนค่อนข้างมาก ขณะที่อีกหลายพรรคยังเป็นนามธรรมเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตนจะได้ประโยชน์อะไรบ้างหลังการเลือกตั้ง
แต่เวทีนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ตัวแทนพรรคจะออกมาหาเสียง โชว์วิสัยทัศน์บอกเล่านโยบาย ซึ่งหลังจากนี้แต่ละพรรคจะปรับปรุงนโยบายของตนอย่างไรบ้าง ให้สอดประสานกับความต้องการและความจำเป็นที่แท้จริงของประชาชน เพื่อมิใช่เป็นเพียงนโยบายที่ซื้อที่นั่งเข้าไปนั่งในสภาฯ เท่านั้น ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องรอฟัง และตัดสินใจเลือกด้วยตนเองในวันที่ 24 มี.ค. 2562