นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่ตนได้ยื่นเรื่องต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบการซื้อเสียงในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดพัทลุง ของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 ใน 4 ประเด็น โดย กกต. ยกคำร้อง 2 เรื่อง ส่วนอีก 2 เรื่อง ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ นอกล้นไปจากขอบเขตของกฎหมาย ทำให้ในเรื่องนี้ ตนจึงจำเป็นต้องฟ้อง กกต. ทั้ง 7 คน เนื่องจากได้สมคบคิดใช้อำนาจโดยทุจริตมีอคติ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ใช้อำนาจ ใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ไม่มีข้อเท็จจริง และเหตุผลรองรับการใช้ดุลพินิจอันเป็นการช่วยเหลือผู้สมัคร และพรรคการเมืองหนึ่ง ให้เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในเขตการเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดพัทลุง แทนที่จะใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจัดการเลือกตั้งใหม่ทั้งที่มีข้อเท็จจริงปรากฎชัดว่า เต็มไปด้วยการซื้อสิทธิ ขายเสียง ไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะเป็นผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
"การกระทำของ กกต. ทั้ง 7 เป็นการใช้ดุลยพินิจที่มิได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล และเป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ จนล้ำออกนอกเขตของความชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยทุจริตตามนัยยะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 การกระทำของ กกต. ทั้ง 7 ยังเป็นการบั่นทอนและทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากปล่อยให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป กกต. จะเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ทุจริต และเข้าไปแสวงหาอำนาจและประโยชน์อันจะเกิดความเสียหายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง" นายนิพิฏฐ์ กล่าว
ซึ่ง 4 ประเด็น ที่นายนิพิฏฐ์ ยื่นร้อง กกต. ประกอบด้วย กรณีที่ 1 พบการซื้อเสียงที่ ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งมีหลักฐานภาพถ่าย และพยานเล่ากับตนว่ามีการรับเงิน 4 พันบาท ให้กับคน 8 คน เพื่อซื้อเสียง แต่หลังจากพยานให้การกับ กกต. ครั้งแรกก็ได้ให้การเหมือนกับที่เล่าให้ตนฟัง แต่หลังจากนั้นพยานคนดังกล่าวกลับไปให้การใหม่แล้วบอกว่า ไม่ขอยืนยันคำให้การเดิมที่เคยให้การไว้
"ผู้หญิงคนนี้ไปให้การใหม่ เขาบอกว่าเขาไม่ยืนยันคำให้การเดิมที่เขาให้การไว้ ที่บอกว่าเงินนี้ซื้อเสียงให้กับหลานเขานั้น ความจริงแล้วไม่ใช่เงินซื้อเสียง แต่เป็นเงินที่เขาให้หลานไปซื้อน้ำมันพืช อันนี้สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็คือ กกต. เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ให้คนเงินหลานไปซื้อน้ำมันพืช เลยยกคำร้องของผม" นายนิพิฏฐ์กล่าว
กรณีที่ 2 กรณีที่มีภาพรายชื่อหัวคะแนน และคลิปกำลังจ่ายเงินเพื่อจูงใจให้เลือกผู้สมัครพรรคการเมืองหนึ่ง ของคืนวันที่ 23 มี.ค. 2562
"กกต. ยกคำร้องเพราะพยานไปให้การว่า ตอนที่พยานอัดคลิปนี้ พยานไม่รู้ว่าเงินอะไร พยานไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดกัน แต่อันนี้มันไม่จริง เพราะว่าที่พยานส่งคลิปให้ผมนั้นมันชัดเจน ว่าเงินนี้ขอเบอร์ ... นะ 500 นะ สิ่งที่พยานบอกว่าไม่รู้ว่าเงินอะไร 1. มันขัดกับภาพบัญชีคนซื้อเสียง แล้วบอกว่าไม่รู้ว่าเขาซื้อเสียงว่าเงินอะไร กกต. ยกคำร้องด้วยเหตุผลที่ว่าผู้บันทึกคลิปนี้ได้บอกว่าไม่ได้ยินว่าเขาพูดกันว่าอะไร เลยยกคำร้อง" นายนิพิฏฐ์ กล่าว
กรณีที่ 3 กรณีกลุ่มไลน์ "เพื่อนนายฉลอง" ซึ่งมีสมาชิกราว 400 คน มีการส่งรูปบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ในกรณีกลุ่มไลน์ "เพื่อนนายฉลอง" นี้ ตนร้อง กกต. 2 เรื่อง คือ กำนันผู้ใหญ่บ้านไม่ว่างตัวเป็นกลาง เพราะมีการให้ผู้ใหญ่บ้านไปถ่ายรูปบัตรประชาชนแต่ละบ้านส่งเข้ากลุ่ม แต่มีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งปฏิเสธที่จะทำ เพราะต้องการวางตัวเป็นกลาง หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวถึงถูกให้ออกจากกลุ่มไลน์ดังกล่าว
"ดังนั้นเรื่องนี้ผมร้อง กกต. ว่า ข้าราชการวางตัวไม่เป็นกลาง ตาม พรบ.การเลือกตั้ง แต่ กกต. วินิจฉัยว่า การที่ถ่ายบัตรประชาชนจำนวน 35,000 ใบ ลงในกลุ่มไลน์เพื่อนนายฉลองนั้น เป็นเรื่องของการสำรวจคะแนนนิยม ว่ามีคนนิยมพรรค ... เท่าใด แต่ผมก็โต้แย้งว่า การสำรวจคะแนนนิยมนั้น 1. เขาไม่ใช้กำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไปทำในขณะนี้กำลังมี พรฎ. การเลือกตั้ง ขนาดทำโพลยังทำไม่ได้เลย 2. ถ้าเป็นการสำรวจคะแนนนิยมจริง คุณลบชื่อผู้ใหญ่บ้านที่เป็นกลางในทางการเมืองออกทำไม แต่ในเรื่องนี้ กกต. ให้เหตุผลว่าได้เรียกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนนั้นมาสอบสวนแล้ว กำนัน ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เป็นการสำรวจคะแนนนิยม แล้วเขาวางตัวเป็นกลาง เขาไม่ได้ข่มขู่บังคับ กกต. ก็ยกคำร้อง ด้วยเหตุที่ว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้านยังวางตัวเป็นกลางอยู่ ทั้งๆ ที่กรณีการสำรวจคะแนนนิยม ตาม พรบ.ลักษณะการปกครองท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้" นายนิพิฏฐ์กล่าว
ส่วนเรื่องกลุ่มไลน์ "เพื่อนนายฉลอง" อีกเรื่องหนึ่งคือ มีคนในกลุ่มไลน์ดังกล่าวส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มไลน์ว่า "พวกเรา ถ้าถูกจับในขณะซื้อเสียง ให้บอกว่าเป็นเงินของพรรคประชาธิปัตย์" กรณีนี้ตนร้องต่อ กกต. ว่า เป็นการใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร แต่ กกต. ลงโทษคนที่ส่งข้อความว่าเป็นการใส่ร้ายทำให้เสื่อมเสียคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ และทำให้เสียคะแนนนิยมของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กกต. จึงให้ดำเนินคดีกับคนที่ส่งข้อความดังกล่าว ซึ่งปกติถ้ามีลักษณะอย่างนี้ แสดงว่าการเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรม ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ กกต. ไม่จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
"ทั้งหมดนี้ กกต. ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ นอกล้นไปจากขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งสามารถที่จะลงโทษได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ผิดต่อกฎหมายโดยทุจริต ที่ผมพูดวันนี้ผมเปิดเผยข้อมูลเพียงบางส่วน คนซื้อเสียงที่มาพบผม และให้ข้อมูลเหล่านี้ ผมไม่เชื่ออยู่แล้วว่าคนเหล่านี้จะซื่อตรง ผมมีข้อมูลมากกว่านั้น ถ้า กกต. รู้ว่าในมือผมมีข้อมูลมากกว่านั้น กกต. จะหนาวเลย แต่ผมไม่เปิดเผยวันนี้ ผมเคยทำเรื่อง กกต. ตอน กกต. ชุดโน้นนานมาแล้วติดคุก ผมก็อยู่ในกระบวนการนั้น และผมก็รู้ว่า กกต. ติดคุกเพราะอะไร เหตุผลอย่างไร ผมยืนยันด้วยศักดิ์ศรีของการเป็นทนายความนักกฎหมาย ตลอดชีวิตของผมว่าเรื่องนี้มีพยานหลักฐาน หนาแน่น หนักแน่นมากกว่าคดีที่ กกต. ติดคุก และผมจะทำเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด" นายนิพิฏฐ์ กล่าวในที่สุด