เมื่อวานนี้ (20 ก.พ.) บริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสัญชาติเกาหลีใต้ เปิดตัวโทรศัพท์ใหม่ 4 รุ่น และแม้จะมีความตื่นเต้นเกิดขึ้น แต่ผู้บริโภคกลับไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการซื้อโทรศัพท์เรือธงรุ่นใหม่ของแบรนด์ดัง ด้วยเหตุผลหลักจากราคาที่สูงเกินไป ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญเดียวกันที่ทำให้ยอดขายของไอโฟนจากแอปเปิลร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในมิติด้านการแข่งขัน กลยุทธ์การจับตลาดผู้มีกำลังซื้อสูง ทำให้คู่แข่งอย่าง 'หัวเว่ย' และ 'เสี่ยวหมี่' สามารถเก็บตกจากกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่มีกำลังซื้อเพียงพอ
'ท็อด ฮาเซลตัล' นักวิเคราะห์จากสำนักข่าวซีเอ็นบีซี ชี้ 3 ข้อผิดพลาดที่ซัมซุงกำลังเผชิญหลังเลือกที่จะใช้กลยุทธ์โทรศัพท์หรูหราที่จับต้องได้เฉพาะตลาดบางกลุ่มเท่านั้น
ราคาโทรศัพท์รุ่นใหม่ของซัมซุงในรุ่นเริ่มต้น 'กาแล็คซี่ เอส10e' เริ่มต้นที่ราคา 749 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 23,300 บาท ซึ่งอาจจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อไม่มากได้ แต่สำหรับรุ่น 'กาแล็คซี่ เอส10' ราคาเริ่มต้นที่ 899 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 28,000 บาท ขณะที่ 'กาแล็คซี่ เอส10+' ราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 31,000 บาท ซึ่งผู้บริโภคมีแนวโน้มไม่อยากจะจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนี้เพื่อแลกกับหน่วยความจำที่มากขึ้น
อีกด้านหนึ่ง การตั้งราคาที่แพงเกินไปนั้น ส่งผลกระทบกับยอดขายไอโฟนของแอปเปิลในจีนโดยตรง เมื่อผู้คนเริ่มรู้สึกว่าราคาที่จ่ายไปกับคุณภาพที่ได้รับไม่สอดคล้องกัน
โดยปกติแล้วเมื่อมีการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ ผู้บริโภคมักรอคอยที่จะเห็นพัฒนาการด้านกล้องถ่ายภาพของโทรศัพท์ หน้าจอ และการประมวลผลที่เร็วขึ้น แต่ความต้องการเหล่านี้ดูจะน้อยลงไปในช่วงที่ผ่านมา
ท็อด กล่าวว่า สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจริงๆ คือโทรศัพท์ที่มีแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้นานขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่า ในโทรศัพท์รุ่นใหม่ของซัมซุงไม่ได้ไปแตะความต้องการของผู้บริโภคเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่ซัมซุงทำคือการเปลี่ยนหน้าจอให้มีสีสันมากขึ้น เพิ่มระบบสแกนนิ้วมือไว้ที่หน้าจอ และลูกเล่นเกี่ยวกับบลูทูธต่างๆ ซึ่งท็อดมองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่คำถามสำคัญคือ ผู้บริโภคที่มี 'กาแล็คซี่ เอส8' ซึ่งก็มีหน้าจอที่ดี มีระบบสแกนหน้า จะยอมเสียเงิน 850 - 999 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 26,000 - 31,000 บาท เพื่อเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือที่ไม่โดดเด่นพอจริงหรือ
ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับไอโฟนเช่นกัน เพราะผู้บริโภครู้สึกว่าสิ่งที่ตนได้รับจากไอโฟนรุ่นใหม่คือ หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ระบบประมวลผลที่เร็วขึ้น และกล้องที่ดีขึ้นเล็กน้อย แม้ผู้บริโภคนับล้านจะยังซื้อไอโฟนอยู่ แต่หากไปดูยอดการเติบโตจะพบว่ามีการหดตัวอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในตลาดที่แอปเปิลต้องการให้มีการเติบโตมากเช่นประเทศจีน
แม้ความขัดแย้งต่างๆ ระหว่างแอปเปิลและจีนจะส่งผลให้ยอดขายแอปเปิลตกลงเกือบร้อยละ 20 เนื่องจากราคาที่สูงเกินไป แต่อย่างน้อยที่สุดแอปเปิลก็ยังติดอันดับที่ 4 แบรนด์โทรศัพท์มือถือในจีน ขณะที่ซัมซุงไม่ติดอันดับ 1 ใน 5 และดูเหมือนซัมซุงจะไม่สามารถดึงดูดใจผู้บริโภคในตลาดที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้ด้วย อีกทั้งโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่ออกมาก็ไม่ได้ช่วยปิดช่องว่างตรงนี้
ดังนั้น การที่ซัมซุงเปิดช่องโหว่ตรงนี้ ทำให้บริษัทผลิตโทรศัพท์มือถือ เช่น หัวเว่ย เสียวหมี่ ออปโป้ และแบรนด์ท้องถิ่น สามารถทำกำไรจากการไร้คู่แข่งภายนอกได้ เนื่องจากสามารถขายในราคาที่จับต้องได้มากกว่า
อีกทั้งการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็กำลังทำพิษอย่างหนักกับแอปเปิลและดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ของซัมซุงดีขึ้นเท่าไหร่นัก
'ซัมซุง' กำลังจะเจออะไร หากทำของดีและราคาสูง แต่ผู้บริโภคไม่ต้องการ
ความผิดพลาดข้างต้นส่งผลต่อการครองตลาดของทั้งแอปเปิลและซัมซุง เนื่องจากมีข้อผิดพลาดที่คล้ายคลึงกัน ทั้งเรื่องยอดการส่งออกของแอปเปิลที่ตกลงกว่าร้อยละ 7.3 ในไตรมาสที่ 4/2561 ส่วนซัมซุงตกลงที่ร้อยละ 5.3 อย่างไรก็ตาม แบรนด์ท้องถิ่นอย่างหัวเว่ยและออปโป้กลับมียอดส่งออกที่โตขึ้นที่ร้อยละ 47.3 และ 20.6 ตามลำดับ
ท็อด ชี้ให้เห็นว่า เพื่อการขายผลิตภัณฑ์ให้ได้มากขึ้น ซัมซุงและแอปเปิลมีความจำเป็นต้องลดราคาสินค้าลง ให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความคุ้มค่ามากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือต้องหานวัตกรรมที่มอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผู้ใช้งาน
"ผมคิดว่าจะมีคนไปต่อแถวแน่ๆ ถ้ามีคนขายโทรศัพท์ที่แบตเตอรี่อยู่ได้อาทิตย์นึง" ท็อด กล่าว
ท็อด ปิดท้ายว่า อาจจะถึงเวลาแล้วที่แอปเปิลและซัมซุงจะให้ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคต้องการจริงๆ ด้วยการผลิตโทรศัพท์ราคาไม่แพง ที่สามารถใช้งานได้อย่างครบถ้วน หรือโทรศัพท์ยอดเยี่ยมที่มาพร้อมกับนวัตกรรม
อ้างอิง; CNBC
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: