เวทีเปิดตัวนโยบายของคณะก้าวหน้าที่โรงแรม แมนดาริน อีสต์วิลล์ ในวันนี้ มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังการแถลงนโยบายเป็นจำนวนมากจนล้นห้องประชุมที่จัดงาน โดยมีกิตติศักดิ์ นิลวัฒนโฒชัย หรือบ๊อบ เบอร์ 3 ผู้สมัครนายกเมืองพัทยาในนามคณะก้าวหน้า พร้อมด้วยผู้สมัครสมาชิกสภาเมืองพัทยา (สม.) และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมแสดงวิสัยทัศน์
ภัคคมณฐ์ สุวรรณจิรทีปต์ ในฐานะคนพัทยาและผู้สนับสนุนของคณะก้าวหน้า ขึ้นกล่าวสะท้อนความรู้สึกในนามของคนพัทยาคนหนึ่ง โดยระบุว่าชาวพัทยาไม่ได้เลือกผู้แทนมา 10 ปีแล้ว ที่ผ่านมาชาวพัทยาได้รับแต่ความเพิกเฉย ไร้ที่พึ่ง ทั้งที่พัทยาเป็นเมืองอันดับต้นๆ รองจากกรุงเทพ ยามปกติมีรายได้ 2.5 แสนล้านบาทต่อปี มีงบประมาณมากกว่า 2 พันล้านบาทต่อปี ที่สามารถเอามาพัฒนาฟื้นฟูบ้านเมืองให้ดีกว่านี้ได้ แต่การใช้งบประมาณที่ผ่านมากลับเต็มไปด้วยการขุดเจาะถนน รื้อถอนฟุตบาทวางท่อเล็กใหญ่ไม่จบสิ้น และยังละเลยให้เกิดน้ำท่วมทุกปีตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ปีที่แล้วสองครั้งติดกัน โดยเมืองทำได้เพียงปล่อยให้ประชาชนต้องรับผิดชอบชีวิตกันเอง
“ลูกอายุ 4 ขวบ ตลอดชีวิตของเขาเจอน้ำท่วมทุกปี เวลาบอกใครว่าอยู่พัทยาทุกคนจะมองว่าดูดี แต่นี่คือชีวิตที่เขาต้องเจอ สิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ของลูกหลานเราจะเป็นอย่างไรในอนาคตไม่มีใครรู้ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เราจะไปใช้สิทธิและเสียงของเรา เพื่อเปลี่ยนอนาคตให้ลูก” ภัคคมณฐ์กล่าว
ด้านชัยรัตน์ ผูกพัน ผู้สมัคร สม. เขต 3 ขึ้นกล่าวถึงที่มาของนโยบายทั้ง 8 ด้านของคณะก้าวหน้า โดยระบุว่าที่ผ่านมาผู้บริหารเมืองพัทยาทำนโยบายในแบบคิดเองทำเองตลอด ผ่านงบประมาณในสภาโดยที่ประชาชนไม่ได้แสดงความเห็น ผู้รับเหมาได้ประโยชน์กลุ่มเดียว จะกี่โครงการผ่านไป สิ่งที่ไม่เคยพัฒนาคือคุณภาพชีวิตของประชาชน น้ำท่วมเหมือนเดิม ถนนขุดเจาะเหมือนเดิม ทางเท้าใช้ไม่ได้เหมือนเดิม นักท่องเที่ยวไม่ปลอดภัยเหมือนเดิม นี่คือผลลัพธ์ของนโยบายแบบมัดมือชก
แต่สำหรับคณะก้าวหน้า มีทีมนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ร่วมเขียนนโยบายขึ้นโดยอาศัยการฟังความคิดเห็นจากประชาชนจริงๆ โดยผู้สมัครทุกคน ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้เรามั่นใจที่จะพูดได้ว่านี่คือนโยบายของประชาชนอย่างแท้จริง
“เรามีเจตจำนงมุ่งมั่น ที่ต้องการพัฒนาเมืองพัทยาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ดีกว่านี้ ให้คุณภาพชีวิตของประชากรดีกว่านี้ นอกจากการออกแบบผ่านการศึกษาอย่างเข้มข้นและการรับฟังความเห็นอย่างทั่วถึงแล้ว เรายังใส่เจตจำนงลงไปในนโยบายทุกข้อ ให้ผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดคือคนเมืองพัทยา ที่ทำให้เราเชื่อมั่นว่าพัทยาดีขึ้นกว่านี้ได้ หากเราได้รับความไว้วางใจจากชาวพัทยา” ชัยรัตน์กล่าว
ด้านธนาธร ระบุว่าการพัฒนาไม่ว่าจะในระดับตำบล อำเภอ เมือง และประเทศ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดขึ้นเพราะความมุ่งมั่นทางการเมือง และการตัดสินด้วยบัตรเลือกตั้ง เมืองจะพัฒนาไปในทิศทางใดหนีเรื่องการเมืองไม่พ้น อย่างเช่นในต่างประเทศหลายเมือง เมื่อได้ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเอาใจใส่ประชาชนมาบริหาร เมืองจะรองรับการสร้างรายได้ให้เมืองและประชากร มีศูนย์เด็กเล็กที่มีคุณภาพ มีนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตของผู้คน ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของชาวเมือง
และนี่คือสิ่งที่คณะก้าวหน้าพยายามทำตลอดเวลาที่ได้บริหารเทศบาล และ อบต. ทั้งหมดในสังกัดของคณะก้าวหน้า เจตจำนงทางการเมืองนำไปสู่การทำน้ำประปาดื่มได้ การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านการท่องเที่ยว การจัดการขยะ การพัฒนาการศึกษาในโรงเรียนสังกัดเทศบาล เป็นต้น
ธนาธรกล่าวต่อ ว่านี่จึงเป็นความสำคัญของบัตรเลือกตั้ง ที่จะกำหนดว่าเมืองของเราจะพัฒนาไปในทิศทางไหน ซึ่งไม่ได้เกิดโดยบังเอิญทั้งสิ้น แต่จะต้องมีคนผลักดันอย่างมีทิศทาง วิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างที่เห็นในเมืองต่างประเทศ ไม่มีเหตุผลที่ท้องถิ่นไทยจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ถ้ามีความมุ่งมั่นทางการเมืองที่แน่วแน่พอ ถ้านายกเมืองมีวิสัยทัศน์และความแน่วแน่ เราจะสามารถผลักดันวาระต่างๆ ได้จริง
ด้านกิตติศักดิ์ ยืนยันว่านายกเมืองพัทยา จะต้องไม่เป็นแค่ผู้บริหารเมือง แต่ต้องเป็นนักขาย นำพัทยาไปขายกับต่างชาติเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ เช้ามาสร้างรายได้ พลิกฟื้นเศรษฐกิจที่พังทลายจากโควิด
นอกจากนี้กิตติศักดิ์ยังอธิบายถึงนโยบายทั้ง 8 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย 1) นโยบายพัฒนาเมือง โดยเร่งจบโครงการขุดถนนที่ดำเนินการอยู่ให้เร็วที่สุด เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจในทุกพื้นที่ของเมือง ปรับปรุงทางเท้าเชื่อมโยงทั่วเมือง จัดขนส่งสาธารณะครอบคลุมทุกพื้นที่ 2) นโยบายเศรษฐกิจการท่องเที่ยว จัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยว จัดพื้นที่สร้างการมีส่วนรวมจากประชาชน 3) นโยบายบริหารจัดการน้ำ ตั้งหน่วยระบายน้ำพร้อมแก้ปัญหาน้ำท่วมตลอด 24 ชั่วโมง กระจายน้ำประปาให้ทั่วถึงทุกบ้าน และปรับปรุงโรงบำบัดน้ำเสีย
4) นโยบายสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ-เผาทำลายลงให้ได้ 70% และลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ 25% ภายใน 4 ปี 5) นโยบายการศึกษา จัดให้มีอาหารเช้าสำหรับเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้มีบริการรถรับส่งนักเรียน จัดสวัสดิการลูกหลานคนพัทยาได้เรียนฟรี จัดให้มีศูนย์ดูแลเด็กตอนกลางคืน (night care) สำหรับพ่อแม่ที่ทำงานกลางคืน และฟื้นฟูศูนย์พัฒนาเยาวชนที่ถูกปล่อยร้างให้กลับมาใช้งานได้ภายใน 18 เดือน
6) นโยบายสาธารณสุข เพิ่มศูนย์ฟอกไตของเมือง เพิ่มศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และนำเทคโนโลยีเทเลเมด หรือการแพทย์ทางไกล มาดูแลผู้ป่วยติดเตียง 7) นโยบายด้านความเท่าเทียม โดยการยืนยันสิทธิของผู้ให้บริการทางเพศ หรือ sex workers และ กลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ และ 8) นโยบายรัฐเปิดเผย โดยเปิดข้อมูลทุกโครงการให้ประชาชนเข้าถึงได้ เปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียน และเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมกำหนดนโยบาย ด้วยการกันงบลงทุน 10% ของเมืองพัทยาให้ประชาชนร่วมออกแบบเสนอโครงการได้
“นายกเมืองพัทยาต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ มีนโยบายที่ใช้ผลักดันได้จริง ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ทำงานร่วมนักวิชาการ ผู้ประกอบการ และภาคประชาชน นโยบายเราไม่ใช่นโยบายที่สวยหรู ไม่มีโปรเจกต์มูลค่าหลักร้อยถึงพันล้าน แต่เป็นนโยบายที่เรียบง่าย มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริหารสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกเพศ วัย และกลุ่มอาชีพ เพื่อสร้างพัทยาที่เป็นของทุกคน” กิตติศักดิ์กล่าว