ที่วันนี้เหลือเพียง “3ช.” หลัง “สันติ พร้อมพัฒน์”รมช.คลัง-ผอ.พรรคฯ ได้แยกตัวออกมา ทำให้ขุมกำลังของ “ธรรมนัส” อ่อนลงไปบ้าง
แต่ใช่ว่า “ธรรมนัส” จะสิ้นไร้ไม้ตอก เพราะเขายังมี “พันธมิตร” ทางการเมืองนอก พปชร. ทั้งพรรคเล็กต่างๆและพรรคเพื่อไทย ที่ “ธรรมนัส” ยังมีไมตรีจิตที่ดีอยู่
เพราะหน่อเนื้อของ “ธรรมนัส” มาจากพรรคเพื่อไทย หากไปไกลกว่านั้นคือ “พรรคไทยรักไทย” อยู่ในทีมของ “เสธ.ไอซ์”พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต เพื่อน ตท.10 กับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
สำหรับ “ธรรมนัส” จบ ตท.25 จปร.36 ชีวิตอันแสนโลดโผนนี้ ทำให้ “ธรรมนัส” ออกจากราชการสมัยยศ “ร้อยเอก” มาสู่สนามการเมือง เริ่มที่ “พรรคไทยรักไทย” แต่ยังไม่มีบทบาทมากนัก จนมาถึงยุคพรรคเพื่อไทยที่ “ธรรมนัส” เริ่มมีบทบาทสำคัญ ทำงานด้านยุทธศาสตร์เลือกตั้งพื้นที่ภาคเหนือ
เพราะ “ธรรมนัส” เป็นคน จ.พะเยา เขาจึงรู้จักนักการเมืองในที่ภาคเหนือจำนวนมาก จนมาลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แต่การเลือกตั้งปี 2557 เป็นโมฆะ และเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 2557 เขาได้โลว์โปร์ไฟล์ตัวเองไปหลายปี จนมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ
ด้วยความเป็น ตท.25 ทำให้รุ่นดังกล่าวถูกจับตาไปด้วย โดยเฉพาะในวงการตำรวจ แม้ว่า “ธรรมนัส” จะออกจากราชการมาราว 20 ปีแล้ว แต่สายสัมพันธ์กับ “เพื่อนร่วมรุ่น” ไม่ได้ลดลงไป
เมื่อปีที่แล้ว “ธรรมนัส” ได้รับเลือกเป็น “ประธานรุ่น ตท.25” ทั้งที่ต้องเป็นคิวของ “เพื่อนเหล่าอื่น” นั่นคือ ทร. ที่หมุนเวียนขึ้นเป็น ปธ.รุ่น แต่ยังคงเป็นของ “ทหารบก” ต่อไป ด้วยแรงผลักดันของเพื่อนในรุ่นด้วยกัน โดยช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตท.25 มีบทบาทในงานสังคมอย่างมาก และ “ธรรมนัส” ก็ร่วมงานของรุ่นอยู่ตลอด
จนล่าสุดเกิดกระแสข่าว “ธรรมนัส” ไปจับมือกับ “รุ่นน้อง” อย่าง “บิ๊กโจ๊ก”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา สบ.9 เพื่อตั้ง “ขั้วอำนาจใหม่” ใน สตช. ขึ้นมา เพราะล่าสุดที่ประชุม ก.ตร. ได้แต่งตั้งให้เป็น “บิ๊กโจ๊ก” ขึ้นเป็น ผู้ช่วยผบ.ตร. ทำให้ชื่อของ “บิ๊กโจ๊ก” กลับมาผงาดใน สตช. อีกครั้ง เพราะเหลืออายุราชการอีกราว 10 ปี มีสิทธิขึ้นเป็น ผบ.ตร. ในอนาคต
สำหรับ “บิ๊กโจ๊ก” จบ ตท.31 นรต.47 ส่วนคนที่จบ ตท.25 เพื่อนของ ร.อ.ธรรมนัส ก็จะจบ นรต.41 โดยกระแสข่าวการจับมือครั้งนี้ก็เพื่อดัน นรต.41 ไปสู่ตำแหน่งสำคัญใน สตช.
ทั้งนี้ “บิ๊กโจ๊ก” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว โดยยืนยันว่าไม่มีการจับมือกับ “ธรรมนัส” เพื่อผลักดัน นรต.41 พร้อมย้ำว่า นรต.41 ถึงช่วงเวลาที่ต้องเติบโตขึ้นมาดูแล สตช. อยู่แล้ว
สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกระแสข่าวความวุ่นวายใน พปชร. ที่เกิดขึ้น ผ่าน “ขบวนการล้มนายกฯ” ที่หวังให้ นายกฯหลุดจากตำแหน่ง แล้วดัน “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นเป็น นายกฯ แทน
ในแง่หนึ่ง นายกฯ ก็จะเป็น ประธาน ก.ตร. โดยตำแหน่งด้วย ซึ่งช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยึดอำนาจ ก.ตร. จาก พล.อ.ประวิตร ที่ดูแลในยุค คสช. กลับคืนมา ทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายขึ้นตรงกับ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งหมดใน “ด่านสุดท้าย” นั่นเอง
ทำให้ พล.อ.ประวิตร ไม่มีอำนาจในการจัดโผนาย ตร. เต็มมือเฉกเช่นยุค คสช. ซึ่งสอดรับกับ “ชนวนความขัดแย้ง” ที่เป็นเชื้อปะทุภายใน พปชร. ที่มีการพูดถึงคือกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทำตามคำของของ “แกนนำ พปชร.” บางคน ในการแต่งตั้งโยกย้ายนาย ตร. ในระดับ ตำรวจภูธรภาค
สำหรับนาย ตร. ที่จบ ตท.25 – นรต.41 ที่เติบโตใน สตช. ขณะนี้ ได้แก่ พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบช.ภ.8 นายตำรวจคนสนิท พล.ต.อ.สุวัฒน์ ผบ.ตร. ที่ขึ้นเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. , “บิ๊กหลวง”พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบช.ภ.3 ขึ้นเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ถือเป็นชื่อที่ถูกโฟกัสอย่างมาก
“บิ๊กอ้อ”พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการประจำ สำนักงาน ผบ.ตร. โยกไปเป็น ผบช.ภ.6 ที่เป็นพื้นที่ที่ถูกจับจ้อง จากเหตุการณ์ "ผู้กำกับโจ้เอฟเฟกต์" , พล.ต.ต.สรายุทธ สงวนโภคัย รอง ผบช.ภ.7 สายตรง พล.อ.ประวิตร เลื่อนเป็น ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม รอง ผบช.น. ขึ้นเป็น ผบช.ภ.3
ทว่าในกองทัพรุ่น ตท.25 กลับไม่ผงาดเฉกเช่นเหล่า ตร. เพราะภายในกองทัพ ตท.25 ถูกรุ่นพี่และรุ่นน้องเบียดขึ้นตำแหน่ง ได้แก่ ตท.24-26-27-28 ที่จ่อคิวขึ้นคุมกำลัง
สำหรับ ตท.25 ในกองทัพ ได้แก่ พล.ต.วสุ เจียมสุข รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) , พล.ต.ทวีพูล ริมสาคร เสธ.นรด. , พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ ผบ.พล.ร.15 , พล.ต.ศานติ ศกุนตนาค ผบ.พล.ร.5 , พล.ร.ต.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช รองเจ้ากรมข่าวทหาร , พล.ร.ต.ปรีดิวัฒน์ ดิลกนรนารถ ผบ.กองเรือลำน้ำ , พล.ร.ท.สุวิน แจ้งยอดสุข ฝ่าย เสธ. ผบ.ทร. น้องชาย พล.ต.อ.สุวัฒน์ ผบ.ตร. , พล.อ.ต.ศรสิต กีรติพล เจ้ากรมพลาธิการ ทอ. , พล.อ.ท.มนัท ชวนะประยูร เจ้ากรมข่าว ทอ. พล.อ.ท.ไวพจน์ เกิงฝาก เจ้ากรมยุทธการ ทอ. เป็นต้น
อย่างไรก็ตามทั้ง “บิ๊กโจ๊ก-ธรรมนัส” ต่างมี “พี่ชายคนเดียวกัน” คือ พล.อ.ประวิตร ที่เป็นจุดเชื่อมกับ พล.อ.ประยุทธ์
ซึ่งทั้ง “บิ๊กโจ๊ก-ธรรมนัส” ก็ต่างมีเรื่องมีราวกับ พล.อ.ประยุทธ์ มาทั้งคู่ แต่ก็ได้ พล.อ.ประวิตร ที่ทำหน้าที่ “กาวใจ” ให้มาตลอด ในส่วน “บิ๊กโจ๊ก” ช่วง 1-2 ปีที่พ้นจาก ตร. จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเด้งฟ้าผ่าและพ้นจาก ตร. แม้ว่าจะมีระยะห่างจาก พล.อ.ประวิตร ไปบ้าง แต่ “บิ๊กโจ๊ก” ก็ยังคงไปหา พล.อ.ประวิตร อยู่เสมอ ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
สำหรับ ร.อ.ธรรมนัส ความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่า “สะบั้น” ไปแล้ว หลัง นายกฯ ลงดาบ “ปลดออก” พ้นจาก รมช.เกษตรฯ ไปพร้อมกับ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์”รมช.แรงงาน ทุกอย่างเบ็ดเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ หลังเกิดเรื่องที่สภา เป็นผลพวงจาก “ธรรมนัสเอฟเฟกต์” แม้จะมีการ “เคลียร์ใจ” กันที่บ้านป่ารอยต่อ เมื่อวันที่ 3ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมี “พี่ป้อม” เป็น “คนกลาง” แต่ก็ไร้ผล ทำให้ พล.อ.ประวิตร อยู่ในสภาวะ “กลืนเลือด” กับสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ “พี่น้อง 2ป.ประวิตร-ประยุทธ์” ย่อมพูดคุยกัน เพราะมีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ปิดห้องคุย พล.อ.ประวิตร ที่ ทำเนียบฯ หลังจบแถลงผลการศึกษานักศึกษา วปอ.รุ่น63 โดยคาดว่าคุยกันในเรื่อง “ธรรมนัส-นฤมล’ เพราะไม่ถึง 1 วัน ร.อ.ธรรมนัส ชิงออกตัวแถลงข่าว “ลาออก” จาก รมช.เกษตรฯ ก่อนตามมาด้วย ราชกิจจานุเบกษา (9 ก.ย. 2564) เผยแพร่ประกาศให้ 2 รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง
โดยมีข้อความสำคัญ คือ “นายกฯได้กราบบังคมทูลว่า สมควรให้รัฐมนตรีบางคน พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ” ประกาศวันที่ 8 ก.ย. 2564
ทั้งนี้เป็นผลพวงที่ต้องจับตาไปถึงการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ในวันที่ 10ก.ย.นี้ ที่จะกลับมาใช้บัตร 2 ใบ และเปลี่ยนเป็น ส.ส.เขต 400 คน บัญชีรายชื่อ 100 คน ที่เอื้อต่อพรรคใหญ่ จะถูกคว่ำกลางรัฐสภาหรือไม่ ด้วยสถานการณ์ภายใน พปชร. ที่มีรอยร้าวลึก และความสัมพันธ์ที่สะบั้นไปแล้วระหว่าง “2ป.” กับ “ธรรมนัส”
ที่สุดท้าย อาจต้อง “กระจายความเสี่ยง” ผ่านการตั้ง “พรรคสำรอง” เพื่อ “คานอำนาจ” กันเอง
แต่อีกด้านหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านโหวต วาระ 3 ไปได้ ก็สะท้อนว่า “3ป.” ยังคงคุมกลเกมนี้ได้ในภาพรวม และการ “ตัดหาง” ร.อ.ธรรมนัส ก็เป็นการ “ส่งสัญญาณ” ที่ชัดเจนแล้วว่า “3ป.” วางตัว “ทายาทการเมืองคนใหม่” ไว้แล้ว และรอวันที่ “ธรรมนัส” ออกจาก พปชร. นั่นเอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง