สำหรับการลืมเด็กนักเรียนไว้ในรถ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้นมีการลืมเด็กนักเรียนอนุบาลไว้ในรถรับส่งนักเรียนแล้วหลายครั้ง 

 

ข้อมูลของ นายประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ จาก ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุไว้ว่า มีเหตุการณ์ที่เด็กเล็กเสียชีวิตอยู่ภายในรถแล้วหลายครั้ง เช่นในกรณี วันที่ 14 พฤษภาคม 2556 เคสน้องพอตเตอร์ อายุ 3 ขวบ คุณครูซึ่งเป็นผู้ขับรถรับส่งนักเรียน ที่โรงเรียนอุทุมพรวิทยา จังหวัดศรีสะเกษ คิดว่าเด็กเข้าห้องเรียนแล้ว จึงได้ปิดประตูรถ จากนั้นก็ไปสอนตามปกติ จนกระทั่งเวลาเลิกเรียน จึงค่อยมาพบว่าน้องพอตเตอร์นอนแน่นิ่งหมดสติอยู่บนเบาะรถ นำตัวส่งโรงพยาบาล สุดท้ายน้องพอตเตอร์ก็เสียชีวิต

 

อีกกรณีคือ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2556 น้องเอย อายุ 3 ขวบ ก็ถูกครูซึ่งเป็นคนขับรถตู้โรงเรียนอนงค์เวท จังหวัดสมุทรปราการด้วย นึกว่าเด็กลงรถแล้ว ถึงล็อคประตูรถไว้ จนจนเลิกเรียน น้องเอยได้กลายเป็น "เจ้าหญิงนิทรา"เป็นเวลาถึง 2 อาทิตย์ และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2556

 

อีกตัวอย่างคือ วันที่ 30 พฤษภาคม 2555  กรณีของน้องป๋อ อายุ 4 ขวบ โดยคนขับรถโรงเรียนได้พาเด็กๆมาถึงโรงเรียนกล้าขยันกิติวุฒ จังหวัดกาฬสินธุ์ ดังเช่นทุกวัน นักเรียนทุกคนลงจากรถหมด ยกเว้นเด็กชายป๋อ ซึ่งเผลอหลับอยู่ที่เบาะด้านหลังของรถ โดยที่ไม่มีใครรู้ น้องป๋อจึงถูกขังอยู่ในรถและเสียชีวิต 

 

จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ ระบุไว้ว่า คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า เด็กที่ติดในรถเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ แต่ความเป็นจริงแล้ว อากาศภายในรถสามารถนอนได้นานเป็นชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่ที่เด็กเสียชีวิตเป็นเพราะความร้อนภายในที่สูงขึ้น โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที อุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถอยู่ได้ ยิ่งนานเกิน 10 นาทีร่างกายจะแย่ และภายใน 30 นาทีก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

 

ทั้งนี้ ปกติร่างกายคนเราจะรักษาอุณหภมิไว้ที่ 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อติดอยู่ในรถที่ความร้อนสูงขึ้น ช่วงแรกร่างกายจะขับความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ แต่เมื่อถึงจุดที่ร่างกายทนไม่ไหว ร่างกายก็จะหยุดทำงาน เกิดภาวะเลือดเป็นกรด สิ่งที่ตามมาคือ เด็กอาจหยุดหายใจ และ อวัยวะทุกอย่างหยุดทำงาน