ไปเที่ยวที่เมืองรอยต่อ หรือเมืองที่ตั้งอยู่ตามพรมแดนของประเทศต่างๆ ในยุโรป ที่เรียกได้ว่า ไปแค่เมืองเดียว เหมือนเที่ยวได้ 2 ประเทศ
Travel Marvel ประจำวันที่ 29 มีนาคม 2557
ไปเที่ยวที่เมืองรอยต่อ หรือเมืองที่ตั้งอยู่ตามพรมแดนของประเทศต่างๆ ในยุโรป เมืองเหล่านี้ขึ้นชื่อเรื่องการผสมผสานกันทางวัฒนธรรมอย่างลงตัว เรียกได้ว่า ไปแค่เมืองเดียว เหมือนเที่ยวได้ 2 ประเทศ จะมีเมืองอะไรบ้างนั้น
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า หลายประเทศในยุโรปมีการรวมตัวเป็นสหภาพยุโรป ทำให้พรมแดนกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับการเป็นรัฐชาติอีกต่อไป เมื่อทุกอย่างเกิดการรวมกัน การผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรม จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ วันนี้ เราจึงขอนำเสนอการท่องเที่ยวยุโรปรูปแบบใหม่ ที่จะทำให้เข้าใจยุโรปได้อย่างลึกซึ่งยิ่งขึ้น นั่นก็คือการท่องเที่ยวตามเมืองที่ตั้งอยู่ตามแนวพรมแดนของประเทศต่างๆโดยเราได้รวบรวมเมืองตามแนวชายแดนในยุโรป ที่ขึ้นชื่อเรื่องการท่องเที่ยว และการผสมผสานกันของวัฒนธรรมได้อย่างลงตัวมากที่สุดมาฝากคุณผู้ชมกัน
เริ่มกันที่เมืองลีลของฝรั่งเศส เมืองๆนี้มีพรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม จุดเด่นของเมืองอยู่ตรงที่อาหารการกิน และเครื่องดื่ม ที่โดดเด่นไม่แพ้ที่ไหน หลายคนอาจจะชอบบ่นว่า อาหารในเบลเยียม รสชาติจะไม่ค่อยถูกปากเหมือนอาหารในฝรั่งเศส อีกทั้ง เครื่องดื่มอย่างเบียร์ ก็รสชาติไม่เข้มข้นนัก แต่สำหรับในเมืองลีลแล้ว กลับแตกต่างอย่างสุดขั้ว ด้วยส่วนผสมอันลงตัวของอาหารฝรั่งเศสสูตรท้องถิ่น กับอาหารดั้งเดิมของเบลเยียม ทำให้นักท่องเที่ยวต่างก็ประทับใจ โดยเฉพาะชีสและเบียร์ ที่ขึ้นชื่อสุดๆ
เมืองที่สองคือกรุงบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย เมืองหลวงของสโลวาเกียนี้ ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนของประเทศฮังการีและออสเตรีย ทำให้ที่นี่เป็นเมืองหลวงที่มีสีสันมากกว่าเมืองหลวงแห่งอื่นๆในยุโรป ด้วยประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน แถมยังเคยเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรฮังการี ยาวนานกว่า 300 ปี จนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการปกครองบนแนวพรมแดนของอาณาจักรดังกล่าว เรียกได้ว่า เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว นอกจากจะได้ซึมซับประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันออกอย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังได้เห็นการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมทั้งของฮังการีและออสเตรีย เรียกได้ว่าคุ้มสุดๆ
แห่งต่อมา เราขอพาไปที่เมืองมัลโม ประเทศสวีเดนค่ะ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับชายแดนของเดนมาร์ก และก่อนหน้าศตวรรษที่ 17 นั้น เมืองแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์กโดยตรง ทำให้ร่องรอยอารยธรรมต่างๆยังคงหลงเหลืออยู่อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ไฮไลท์ของเมือง ที่เรียกได้ว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการคมนาคมในยุคสมัยใหม่ ก็คือสะพานที่มีชื่อ โอเรซุนด์ ซึ่งเป็นสะพานความยาว 8 กิโลเมตร ที่ได้เชื่อมสวีเดนกับเดนมาร์กเข้าไว้ด้วยกัน สะพานแห่งนี้ ยังเป็นเส้นทางที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์กอีกด้วย จึงไม่ต่างอะไรกับสัญลักษณ์ที่เชื่อมความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองเอาไว้อย่างแนบแน่น
จากนั้น เราขอพามาที่พรมแดนระหว่างฝรั่งเศสกับสเปนกันบ้างค่ะ เมืองที่ตั้งอยู่ตรงพรมแดนนี้ มีชื่อว่า ซาน เซบาสเตียน ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน แต่เนื่องด้วยที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับฝรั่งเศสมากกว่า ทำให้เมืองแห่งนี้ รับวัฒนธรรมของฝรั่งเศสมาเต็มๆ ทั้งอาคาร สถาปัตยกรรม รวมถึงอาหารการกินด้วย คุณค่าเหล่านี้ ทำให้ซาน เซลบาสเตียน กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของสเปน และยังมีค่าครองชีพที่แพงกว่าเมืองท่องเที่ยวแห่งอื่นๆอีกด้วย ปัจจุบัน ซาน เซบาสเตียน เป็นที่ตั้งของร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรูที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล แถมยังมีคาสิโนขนาดใหญ่ และโรงละครสุดคลาสสิค ไม่ต่างอะไรกับได้อยู่ในฝรั่งเศสเลยทีเดียว
ปิดท้ายกันที่เมือง ตริเอสเต้ ในอิตาลีค่ะ เมืองเล็กๆแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของอิตาลี ติดชายทะเลอะเดรียอาติก และมีพรมแดนติดกับประเทศสโลเวเนีย ห่างจากเมืองเวนิสในอิตาลีไปราว 160 กิโลเมตร เมืองๆนี้มีความสำคัญในฐานะเมืองท่าในยุคจักรวรรดิโรมัน เนื่องจากตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่พอเหมาะ ใกล้กับเวนิส โครเอเชีย และสโลเวเนียในปัจจุบัน โดยฐานะดังกล่าวยังคงความสำคัญมาจนถึงตอนนี้ เนื่องจากตริเอสเต้เปรียบได้กับประตูไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านของอิตาลี โดยบรรดาเรือสำราญทั้งหลายที่ล่องมาจากเมืองเวนิส จะมาแวะพักที่นี่ ก่อนจะล่องไปยังเมืองอื่นๆในยุโรปตะวันออก ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวดังของอิตาลีไปโดยปริยาย
ภาพ : www.flickr.com by Peter Collins