ไม่พบผลการค้นหา
อดีตเลขา สมช.เชื่อผู้ชุมนุมจะขยายวงไปทั่วประเทศในเวลาอันรวดเร็ว ชี้มีความหลากหลาย ไม่มีแกนนำ จี้นายกฯ ยอมถอย เปิดทางสร้างความเชื่อมั่น ทำตามฉันทามติร่วม ป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภา ความมั่นคงแห่งชาติและคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย มั่นใจว่าการเคลื่อนไหวของนักเรียน นักศึกษา ประชาชน จะสร้างความรับรู้ จนขยายวงเพิ่มขึ้นไปทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการชุมนุมไปแล้วกว่า 40 จังหวัด เพื่อแสดงเจตนารมณ์ และนำเสนอข้อเรียกร้องหลักทั้ง 3 ประการ ซึ่งประกอบด้วย การเรียกร้องให้ยุติการคุกคามประชาชน การร่างรัฐธรรมนูญใหม่และยุบสภา จะขยายวงไปครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยผู้เข้าร่วมจะไม่ถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มนักศึกษาเป็นหลักเท่านั้น ขณะที่เนื้อหาสาระในการชุมนุมจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยกระบวนการดังกล่าว จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ เปิดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ

อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงรับรู้และมองเห็นปัญหาในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการชุมนุมจะมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่มีแกนนำ และจะเชื่อมโยงรับลูกถึงกันด้วยอุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่งจะมีความต่อเนื่อง และกระจายออกไปพื้นที่ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายความมั่นคงสื่อสารไปถึงผู้มีอำนาจในประเด็นเหล่านี้ แต่ "ผู้มีอำนาจที่ไม่ได้มาตามครรลองประชาธิปไตย มักเป็นพวกที่หูตึงตาบอด" จึงเชื่อว่ากลุ่มการเคลื่อนไหวถูกยุยงมา ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผู้นำที่มาจากการยึดอำนาจ 

ส่วนจะนำไปสู่การปราบปรามประชาชนหรือไม่นั้น เชื่อว่าฝ่ายผู้มีอำนาจมีการเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ในอดีต เพียงแต่เห็นว่าปัจจุบัน ความพยายามที่จะผ่อนสถานการณ์สายเกินไปแล้ว เพราะประชาชนไม่เกิดความเชื่อถือศรัทธาอันมาจากการบริหารตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดหากผู้มีอำนาจ บริหารจัดการและยอมถอยเป็นก็จะไม่เกิดปัญหา แต่หากฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ยินยอมที่จะถอย ยังยืนกรานที่จะยอมหักไม่ยอมงอ สุดท้ายประวัติศาสตร์ ที่เรียนรู้มา ก็คงหลีกเลี่ยงความรุนแรงยาก

พล.ท.ภราดร ย้ำว่า พลังการเคลื่อนไหวของนักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนจะกลายเป็นฉันทามติร่วมที่นำไปสู่การแก้ไข และการดำเนินการตามข้อเรียกร้องทั้ง 3 เรื่อง เพราะการเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษาเชื่อมโยงไปถึงคนทุกกลุ่ม ซึ่งข้อเสนอจะตกผลึกและกลายเป็นความชอบธรรมของคนส่วนใหญ่ โดยเชื่อว่ากระบวนการต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่ต้องเป็นไปตามหลักการทั้งหมด

อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ระบุว่าปัจจุบันมาถึงจุดที่โชคร้ายของนายกรัฐมนตรีเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ได้กลายเป็นตัวปัญหาหลัก คนจึงขาดความเชื่อมั่นและต้องการผู้นำใหม่ เพื่อเข้ามาดำเนินการแทนพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อทำให้ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ประการ สัมฤทธิ์ผลและมีประสิทธิภาพตรงใจประชาชน 

ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจะต้องถอยเพื่อให้บุคคลใหม่เข้ามาดำเนินการ ในสิ่งที่ประชาชนต้องการจึงจะเกิดความเชื่อมั่นว่าข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อ จะเกิดขึ้นได้จริง เช่น การหยุดการคุกคาม ตราบใดที่ผู้มีอำนาจมีรากฐานมาจากเผด็จการมาจากการยึดอำนาจ จึงเป็นเรื่องยากที่จะหยุดการคุกคามประชาชนเพราะเจ้าหน้าที่จะลอกเลียนแบบตัวผู้นำ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเห็นว่าเกิดขึ้นได้ยากเพราะรัฐธรรมนูญถูกออกแบบ เพื่อพวกพ้องตนเองจึงมีวุฒิสมาชิก 250 คน ดังนั้นจะไปคาดหวัง เพื่อให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากตัวนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเรื่องยาก 

อ่านเพิ่มเติม