ภายหลังนักเเสดงสาว ต่าย ชุติมา โพสต์ข้อความผ่านอินสตาเเกรมส่วนตัว สะท้อนปัญหาชีวิตครอบครัวเเละสิทธิในการครอบครองเลี้ยงดูบุตรจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์
ล่าสุด ทิม - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตสามีของนักเเสดงสาว ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกับสื่อมวลชน โดยระบุว่า สาเหตุที่ต้องออกมาอธิบายให้สื่อมวลชนฟัง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ยอมรับว่าความรักมาถึงทางตัน เป็นเวลา 13-14 เดือนได้แล้ว ย้อนไปเมื่อบรรยากาศตอนแต่งงานกับต่าย ชุติมา ตอนนั้นก็ให้สัญญาว่าจะสื่อสัตย์ สม่ำเสมอ เสียสละ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็พยายามประคองชีวิตคู่ ทำอย่างนั้นมาตลอด แต่บางทีเรื่องของความรักก็ไม่มีเหตุผล ไม่มีใครอยากจะให้มันออกมาเป็นแบบนี้
ที่ผ่านมาพยายามประคับประคองด้วยการพูดคุย มีทั้งการพูดคุยกันเอง พูดคุยผ่านผู้ใหญ่ หรือพูดคุยด้วยการหาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการสมรสมาตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ทำให้ต้องยุติบทบาทการเป็นสามี ภรรยา แต่แค่ตอนนี้ยังไม่ได้มีการเซ็นใบหย่า
ในประเด็นที่ ต่าย ชุติมา โพสต์ภาพในอินสตาแกรมส่วนตัวว่าไม่สามารถพาน้องพิพิมไปดูโชว์ดิสนีย์ออนไอซ์ได้ เนื่องจากคุณพ่อบ่ายเบี่ยงไม่ให้ไปรับลูกตามสิทธิพึงมีนั้น
ทิม ยอมรับว่า ในฐานะพ่อแม่มีความขัดแย้งในการหาวิธีเลี้ยงดูลูก โดยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับลูกสาว หรืออารมณ์ต่างๆ ที่ผู้ใหญ่มีต่อกัน เนื่องจากเกรงว่าจะมีปัญหาในอนาคต
นักธุรกิจหนุ่ม ระบุว่า ข่าวของลูกสาวของตนในวันนี้ อีก 10 ข้างหน้า เขาอายุ 13 ปี ข่าวก็ยังปรากฎอยู่ จึงเป็นเหตุผลที่คิดว่า พิพิมไม่ควรจะไปดูดิสนีย์ออนไอซ์กับต่าย เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับสื่อมวลชน และแสงแฟลชก็คงสาดเข้าหน้าลูก ก่อนไปปรากฎตามพาดหัวข่าวของสื่อต่างๆ
"คิดว่าสิ่งนี้คือสิทธิของเด็ก เขาก็มีสิทธิที่ไม่อยากมาอยู่ในสื่อ หรือในความขัดแย้งของพ่อแม่ ผมก็จะพยายามเลี่ยง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือความไม่เข้าใจของพ่อแม่ที่ส่งผลกระทบต่อลูก"
นักการเมืองหนุ่ม กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือลูก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมีผลมากเกินไปต่อหัวใจเด็กอายุ 2-3 ขวบ ซึ่งรายละเอียดต่างๆ อยู่ในชั้นศาลหมดแล้ว ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้พิพิมได้รับผลกระทบจริงๆ ก่อนหน้านี้น้องเป็นเด็กร่าเริง แต่ตอนนี้ก็มีความเครียดสะสม
ทิม เผยว่า ได้แยกกันอยู่กับต่ายเมื่อ 6-7 เดือนที่ผ่านมา ช่วงนั้นลูกสาว ต้องย้ายบ้านทุกๆ 5 วัน ซึ่งสร้างผลกระทบให้ลูกอย่างมาก จนต้องไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องครอบครัว ทั้ง 7 คน ซึ่งทั้งหมดเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ลูกต้องมาเจอ
ประเด็นนี้ได้พูดคุยกับต่ายแล้ว แต่ไม่สำเร็จ จนทำให้ตนต้องตัดสินใจฟ้องหย่าเมื่อเดือน พ.ย. 61 และมีการนัดไต่สวนเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 62 ผ่านมา
ทิม เผยว่า ต่ายไม่ได้มาตามที่นัดหมาย ศาลจึงไต่สวนและดูหลักฐานของตนเองฝ่ายเดียว พร้อมพิพากษาให้หย่าขาดกันและให้สิทธิในการปกครองบุตรกับตนแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาภายหลังต่ายได้ขอยื่นยื่นอุทธรณ์ และให้ศาลรื้อกระบวนการพิจารณาใหม่
นักธุรกิจชื่อดัง กล่าวต่อว่า เนื่องจากไม่สามารถกำหนดวิธีเลี้ยงดูลูกอย่างมีเสถียรภาพได้ ในฐานะพ่อก็ต้องปกป้องลูก ไม่อยากให้มารับกรรมจากความขัดแย้งของผู้ใหญ่ ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว การที่เด็กต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงเยอะๆ ในชีวิต เขาไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้พยายามจะไม่ใช้สิทธิ แต่หาวิธีเลี้ยงลูกอย่างไรให้เขามีความผาสุกมากที่สุด และเป็นเด็กที่มีความมั่นคงทางอารมณ์
ส่วนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนไม่ยอมนำลูกสาวไปพบเจอกับต่ายที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ตามกำหนดนั้น เนื่องจากคำนึงถึงความต้องการของลูกเป็นหลัก ไม่อยากให้ลูกทรมานเหมือน 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเอาความรู้สึกของลูกเป็นหลัก ลูกอยากอยู่ที่ไหนก็ให้อยู่ที่นั่น
ขอยืนยันไม่ได้กีดกันที่จะไม่ให้เจอ แน่นอนว่าอยากให้แม่เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของลูก แต่ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ล้มเหลว และถึงเวลาที่ต้องเริ่มใหม่ ต้องคุยให้ชัดเจนถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกแบบใหม่ เพราะสิ่งที่ไม่เห็นด้วย คือการที่ลูกต้องย้ายที่อยู่ทุกๆ 5 วัน ถ้าต่ายอยากเจอลูกแนะนำให้มาหาที่บ้าน
ส่วนเรื่องโรงเรียนของลูก ตอนนี้ลูกสาวมีชื่อเรียนอยู่ 2 โรงเรียน ตามความต้องการของตนและต่าย ซึ่งกลายเป็นปัญหาให้กับพิพิม จึงต้องหาวิธีการเเก้ไขปัญหาต่อไป โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของลูกมากที่สุด
ทิม ระบุว่า การแก้ปัญหาครอบครัวจำเป็นต้องเอากองเชียร์ของทั้งสองฝั่งออกไป พูดคุยด้วยสติและเหตุผล หากที่สุดเเล้วไม่เข้าใจกัน ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล
เมื่อถูกถามว่า ตอนนี้ยังรักต่ายหรือไม่ ?
ทิม เผยว่า คงเป็นความหวังดีที่มีต่อกันและกัน แต่บทบาทความเป็นสามีภรรยาคงยุติ คิดว่าความรักมีหลายแบบอยู่แล้ว ยินดีที่เป็นเพื่อนกัน หรือเป็นคนรู้จักกันที่คอยช่วยเหลือดูแลกัน แต่คงเป็นไปไม่ได้ถ้าจะกลับมาเป็นสามีภรรยากัน
ส่วนเรื่องนี้กระทบบทบาทใหม่ในงานการเมืองหรือไม่
ทิมเผยว่า มาที่นี่ในฐานะพ่อ ไม่ได้มาในฐานะอื่น ดังนั้นจึงขอความกรุณาให้แยกแยะ