สถานการณ์ระบาดของอินโดนีเซียกำลังเข้าขั้นวิกฤต แม้ทางการเพิ่งประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ทั้งหมดของประเทศเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าสถานการณ์ระบาดจะดีขึ้น จากข้อมูลหน่วยงานด้านสาธารณสุขอินโดนีเซีย ณ วันที่ 13 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันถึงกว่า 47,000 ราย นับเป็นสถิติสูงที่สุดตั้งแต่ประเทศพบการระบาดของเชื้อโควิด โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อหลักหมื่นนี้ถูกพบเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. เรื่อยมา นับเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อในอัตราเร่งมากที่สุดในทวีปเอเชียแซงหน้าประเทศอินเดียแล้ว
ขณะนี้ อินโดนีเซียมียอดผู้ติดเชื้อสะสมที่กว่า 2.62 ล้านคน รักษาหายล้ว 2.14 ล้าน เสียชีวิตสะสมที่ 68,219 ราย
ตามข้อมูลของ Ourworldindata พบว่า อินโดนีเซียประเทศซึ่งมีประชากรราว 270 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นเพียง 1 ใน 5 หากเทียบประชากรของอินเดียที่มีถึงกว่า 1,300 ล้านคน ทว่าอินโดนีเซียมีอัตราผู้ป่วยราว 132 รายต่อล้านคน หากเทียบกับอินเดียที่ 26 รายต่อล้านคน เมื่อคำนวณอัตราการติดเชื้อต่อจำนวนประชากรที่เข้ารับการตรวจ เฉพาะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สถิติผลบวกของอินโดนีเซียสูงถึง 30% แต่สถิติของอินเดียยังไม่ถึง 2% ส่วนอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ของอินโดนีเซียอยู่ที่ 3 ต่อ 1 ล้านคน ส่วนสถิติของอินเดีย ยังไม่ถึง 1 คน แม้สถิติว่าผู้เสียชีวิตทั้งแบบรายวันและสะสมของอินโดนีเซียยังห่างไกลจากอินเดียอยู่มากก็ตาม
ท่ามกลางสภาวะดังกล่าวของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาลหลาแห่งของอินโดนีเซียไม่อาจรองรับผู้ป่วยได้อีก ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย อินโดฯ ได้รับกลยุทธ์ให้รักษาตัวที่บ้านแทน ทว่าอย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าพบผู้ป่วยโควิดอย่างน้อล 451 รายแล้ว ที่เสียชีวิตที่บ้านพักเนื่องจากรอเตียงในโรงพยาบาล สอดคล้องกับคำกล่าวของ บูดี ซาดิคิน (Budi Sadikin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยอมรับเมื่อวันอังคารว่าอัตราการเข้าพักเตียงของผู้ป่วยโควิด ใน 12 จังหวัดเกิน 70% โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในเกาะชวาและส่วนที่เหลืออยู่บนเกาะสำคัญอื่นๆ ของชาวอินโดนีเซีย ส่วนกรุงจาการ์ตา อัตราการเข้ารักษาตัวถึง 90% แม้ว่าจะมีความพยายามเพิ่มศักยภาพด้วยการเปลี่ยนหลายส่วนของโรงพยาบาลเป็นที่รองรับผู้ป่วยก็ตาม ขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามเร่งสร้างโรงพยาบาลสนามสำหรับรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติม
ขณะเดียวกันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งเที่ยวบินพิเศษสำหรับรับชาวญี่ปุ่นที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศ ท่ามกลางการระบาดของอินโดนีเซียที่เกินคำว่าวิกฤต บริษัทเอกชนญี่ปุ่นในอินโดนีเซียแห่งได้ส่งตัวพนักงานพร้อมครอบครัวกลับประเทศ โดยส่วนใหญ่มีทั้งที่บริษัทญี่ปุ่นเช่าเครื่องบินเหมาลำกลับประเทศ ขณะที่บางส่วนเดินทางกลับพร้อมกับเที่ยวบินพิเศษของรัฐบาล
“จากมุมมองของการปกป้องชาวญี่ปุ่น เราได้ตัดสินใจที่จะดำเนินมาตรการ... เพื่อให้คนญี่ปุ่นที่ต้องการเดินทางกลับสามารถเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด และผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” คัตสึโนบุ คาโตะ เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าว
อินโดนีเซียซึ่งเป็นชาติที่ใช้วัคซีนของซิโนแวคเป็นหลัก กำลังเผชิญความคลุมเครือในแง่ของประสิทธิภาพที่แท้จริงของวัคซีน แม้ว่าหน่วยงานสาธารณสุขของประเทศจะยืนยันว่าวัคซีนมีประสิทธิสูงพอจะป้องกันการเสียชีวิต รวมถึงการป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลได้ แต่ประสิทธิผลตามคำแถลงดังกล่าวดูเหมือนจะตรงข้ามกับสถานการณ์ความเป็นจริง ล่าสุด
บูดี ซาดิคิน รมว. สาธารณสุขอินโดนีเซีย แถลงว่า รัฐบาลอินโดนีเซียมีแผนจะฉีดวัคซีนต้านโควิดบูสเตอร์เข็มสาม แก่บุคลากรทางการแพทย์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้อินโดฯ แจกวัคซีนซิโนแวคแก่บุคลากรกรแพทย์ครบทั้งสองเข็มแล้ว กลับพบบุคลากรดังกล่าวติดเชื้อโควิดเป็นจำนวนมาก
ตามแผนอินโดฯ จะใช้วัคซีนบูสเตอร์เข็มสามเป็นโมเดอร์นา เพื่อฉีดแก่แพทย์พยาบาลและบุคลากรการแพทย์ทั่วประเทศ 1.47 ล้านคน โดยวัคซีนโมเดอร์นาล็อตดังกล่าวอินโดนีเซียได้รับบริจาคผ่านทางโครงการโคแวกซ์จำนวน 3 ล้านโดส
การปรับกลยุทธ์วัคซีนดังกล่าว มีขึ้นหลังพบว่ายังคงมีแพทย์และพยาบาลอินโดฯ เสียชีวิตลง แม้ได้รับวัคซีนต้านโควิดครบโดส จำนวน 2 เข็มแล้วก็ตาม 'อาดิบ คูไมดี' แห่งสมาคมแพทย์อินโดนีเซีย เผยว่า ในเดือนก.ค. ที่เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งเดือนนี้ มีบุคลากรการแพทย์เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 35 คน ทุกคนล้วนได้รับวัคซีนซิโนแวคครบโดส
ด้านองค์กรเอกชน Lepor Covid-19 ระบุตัวเลขล่าสุดว่า มีบุคลากรการแพทย์ในอินโดนีเซีย เสียชีวิตไปแล้ว 1,231 คน นับตั้งแต่อินโดนีเซียเริ่มพบโควิดระบาดในประเทศเมื่อเดือนมี.ค. ปีที่แล้ว หนึ่งในนั้น คือ ริสมา ดวี อันนิซา เจ้าหน้าที่กาชาดอายุ 25 ปี ที่กำลังตั้งครรภ์ เพิ่งเสียชีวิตจากโควิดไปเมื่อ 12 ก.ค. ที่โรงพยาบาลในจังหวัดชวากลาง
การระบาดหนักของสายพันธุ์เดลตา ส่งผลให้สถานการณ์ระบาดของอินโดนีเซีย เลวร้ายลงอย่างมาก เตียงจ่อขาดแคลน วัคซีนโควิดเริ่มขาด ถึงออกซิเจนหายาก สถานที่แยกกักผู้ติดเชื้อเต็มเกือบทุกแห่ง อุปกรณ์ป้องกันสำหรับบุคลากรการแพทย์ไม่เพียงพอ โดยอินโดนีเซียนับเป็นชาติแรกๆในอาเซียนที่เริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนโควิดแก่ประชาชนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นซิโนแวค แม้เริ่มฉีดเร็ว แต่อินโดนีเซียยังคงมีอัตราประชากรเข้าถึงวัคซีนต่ำที่สุดชาติหนึ่งของโลก คิดเป็นราว 5.49% ของงประชากรทั้งประเทศกว่า 270 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนครบโดส
อีกด้านหนึ่งท่ามกลางวัคซีนที่ขาดมือ รัฐบาลอินโดฯ กำลังเร่งดำเนินการสำหรับโครงการวัคซีนแบบจ่ายเงินฉีดเอง 'ซิโนฟาร์ม' รายงานระบุว่าบริษัท พีที คีเมีย ฟาร์มา (PT Kimia Farma) เครือพีที ไบโอ ฟาร์มา ประกาศเสนอโครงการฉีดวัคซีนแบบเสียค่าใช้จ่ายสำหรับบุคคลทั่วไป ณ คลินิก 8 แห่ง ใน 6 เมืองบนเกาะชวา อันเป็นเกาะที่มีประชากรหนาแน่นสุดของประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แผนการโกตองโรยอง (Gotong Royong) หรือฉีดวัคซีนของภาคเอกชน เบื้องต้น พีที คีเมีย ฟาร์มา ตั้งราคาวัคซีนซิโนฟาร์มสองเข็มอยู่ที่ราว 879,000 รูเปียห์ (ราว 1,980 บาท) ทว่าอย่างไรก็ตาม แผนการณ์ดังกล่าวต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะ ด้วยเหตุว่าราคาวัคซีนสูงเกินความเป็นจริง ขณะเดียวกันเอกชนก็ถูกวิจารณ์ว่าหวังฟันผลกำไรท่ามกลางวิกฤตระบาด