วันที่ 7 ส.ค. ที่อาคารรัฐสภา กิตตศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ว่า สว. อาจจะไม่เห็นชอบ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติ ในวันนี้ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้เข้ามายื่นหนังสือเพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายเศรษฐา ส่วน สว.ที่จะพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเป็นอีกประเด็นนึง สว.ต้องมองภาพรวมส่วนเรื่องที่มาร้องเรียนก็เป็นอีกเพียงประเด็นนึงเท่านั้น
เมื่อถามว่า เศรษฐา มีเรื่องร้องเรียนหลายเรื่อง กลุ่มเพื่อน สว.มีการพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าวหรือไม่ กิตติศักดิ์ กล่าวว่า ก็เอาใจช่วยเศรษฐา แต่ความจริงคือความจริง สว. รู้สึกหนักใจแทน เพราะผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด หากไปดำรงตำแหน่ง CEO บริษัทต่างๆ เราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องแต่การที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีตาม ม.272 แล้ว สว.จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ
ส่วนหนักใจเรื่องอะไรนั้น กิตติศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องที่ดินเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีที่ยังไม่ชัดเจน ขณะเดียวกันเรื่องที่ เรืองไกร เข้ามาร้องในวันนี้ ก็จะได้รับการพิจารณาอย่างเร่งด่วนจาก กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ซึ่งจะต้องมีการพิจารณารวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็จะนำไปพิจารณาเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่า ในลักษณะนี้เป็นการบอกโดยนัยกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่าให้เสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีชื่ออื่น กิตติศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ และอำนาจของ สว. ที่จะไปปฏิบัติเช่นนั้น การจัดตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องของ สส. ส่วน สว.เป็นเพียงผู้วิพากษ์วิจารณ์ตามที่ขณะสังกัดอยู่ ดังนั้น สว.ไม่มีหน้าที่ไปก้าวก่ายหรือชี้ว่าจะเอาคนนั้น หรือไม่เอาคนนี้
ขณะที่ประชาชนมองว่า การโหวตนายกรัฐมนตรีนานเกินไปหรือไม่ กิตติศักดิ์ กล่าวว่า บ้านเมืองโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องที่จะทดลองได้ ประเทศไทยไม่ใช่บริษัทที่จะมาเล่นขายของ ดังนั้นผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะต้องถูกตรวจสอบอย่างดีที่สุด แน่นอนไม่มีใครดี 100% แต่คนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ อย่างน้อยต้องมีความใสสะอาดเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรม
เมื่อถามว่า การโหวตนายกรัฐมนตรีรอบที่ 3 สว.ส่วนใหญ่จะรับหลักการ ไม่รับหลักการ หรืองดออกเสียง กิตติศักดิ์ กล่าวว่า เท่าที่มีการพูดคุยกันในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้การงดออกเสียงน่าจะน้อยมีแค่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น
เมื่อถามย้ำว่า จะได้นายกคนที่ 30 เลยหรือไม่ กิตติศักดิ์กล่าวว่า ได้แต่ตนเองไม่ทราบว่าเป็นใคร พร้อมกล่าวต่อไปว่าบ้านเมืองปล่อยให้ช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้ส่วนพรรคการเมืองที่จะเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็เหลืออีกไม่กี่คน ดังนั้นต้องได้นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลโดยเร็วที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ไม่บังอาจทำนายขนาดนั้นแต่การโหวตนายกรัฐมนตรีรอบที่ 3 หากยังเป็นชื่อของเศรษฐา เท่าที่ตนเองได้รับฟังจากหลายๆ ฝ่ายโดยเฉพาะ สว. ก็หนักใจแทนแล้ว
ส่วนกระแสข่าวนายกฯ คนนอก นั้น ยืนยันว่า ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ที่เคยให้สัมภาษณ์ไป ขอเป็นหมอเดาว่า”นายกรัฐมนตรีน่าจะไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทย” เหตุผลที่พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อพรรคที่ 2 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็เป็นหน้าที่ของพรรคที่ 3 ซึ่งก็มีแค่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่กระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ กิตติศักดิ์ ถามกลับว่า "มีพรรคก้าวไกลหรือไม่" ก่อนกล่าวต่อว่า หากไม่มีพรรคก้าวไกลก็จะอยู่ที่พรรคการเมืองไปรวมกันจะได้จำนวน 300 กว่าเสียง ก็จะเป็นรัฐบาลที่มีเสียงจำนวนมาก และสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้อีกระยะหนึ่งแต่คงไม่ครบ 4 ปี เพราะจุดประสงค์ของรัฐบาลใหม่คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากมีการรวมกันการปรองดองเรื่องนี้ สว.ไม่ก้าวก่ายและยินดีที่จะได้รัฐบาล และนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ สว.เคยบอกว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคก้าวไกลแล้ว สว. พร้อมที่จะสนับสนุน แล้วเหตุใดตอนนี้มีท่าทีเปลี่ยนใจ กิตติศักดิ์ กล่าวว่า จากที่สื่อได้ทราบ จากกรณีที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ได้เผยแพร่ในสังคม เป็นเรื่องที่มีความน่าสนใจ ตนเคยบอกเสมอว่า หากไม่มีพรรคก้าวไกลก็จะสนับสนุนให้มีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้
แต่ขณะนี้มีเรื่องคุณสมบัติส่วนตัวของ เศรษฐา ซึ่งประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เสรี สุวรรณนภานนท์ สว. จะบรรจุระเบียบวาระโดยเร็วเพื่อให้ข้อมูลในส่วนนี้กระจ่างขึ้น เพื่อดูว่า เศรษฐา บกพร่องทางด้านจริยธรรมหรือไม่การทำธุรกิจนั้นโปร่งใสตรวจสอบได้หรือไม่ ถ้าหาก เศรษฐา สามารถเคลียร์ตัวเองได้ก็ไม่มีปัญหาที่จะเป็นนายกฯ แต่หากตรวจสอบแล้ว และไม่สามารถตอบคำถามได้ สว.ก็จะตัดสินใจไม่เลือก
เมื่อถามว่าหากเป็นแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีจากพรรคที่ 3 พรรคที่ 4 ส.ว. มีความหนักใจหรือไม่ กิตติศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มีความหนักใจ และไม่มีความสบายใจ เพราะทุกคนต้องได้รับการตรวจสอบเหมือนกัน ต้องถูกตรวจสอบจาก สว.ในมาตรฐานเดียวกัน