ไม่พบผลการค้นหา
'ส.ส.พรรคเพื่อไทย' เตือนรัฐบาลประเมินรายได้ผิด-กู้เงินเต็มเพดาน ส่อทำประเทศล้มละลายทางการคลัง

น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส. ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ว่ารัฐบาลตั้งต้นด้วยการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจคลาดเคลื่อน ทำให้การจัดสรรงบประมาณผิดพลาด ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตของประเทศ และที่สำคัญรัฐบาลกำลังทำให้ประเทศสุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในภาวะล้มละลายทางการคลังในระยะยาว วิกฤตครั้งนี้มีหลายสำนักทางเศรษฐกิจประเมินว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวอย่างน้อย 3 ปี หรืออาจมากกว่านั้น

ทุกฝ่ายมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า รัฐบาลมีการประเมินเศรษฐกิจผิดพลาดแต่ไม่ได้มีการแก้ไขให้ถูกต้อง เช่นนี้ถือว่าการทำร่างงบประมาณฯ เป็นการประมาทต่อสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เกินไป เนื่องจากวงเงินงบประมาณที่รัฐบาลตั้งไว้นี้ว่าจะมีรายได้ จำนวน 2,677,000 ล้านบาท โดยประมาณร้อยละ 90 ของรายได้จำนวนนี้มาจากภาษีอากร แต่ถ้าดูการจัดเก็บภาษีอากรของรัฐบาล ตั้งแต่ปี 2557-2562 รวม 6 ปีงบประมาณ ปรากฎว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจัดเก็บภาษีตามประมาณการได้เพียงปีเดียว คือ ปี 2562 นอกนั้นพลาดเป้าหมด 

โดยตั้งแต่เดือนต.ค. 2562 - เม.ย.2563 ในระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา รัฐจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าไปกว่า 103,599 ล้านบาท และยิ่งขณะนี้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต เศรษฐกิจกำลังหดตัวรุนแรงกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ การจัดเก็บรายได้ยิ่งจะทำได้ยากมากขึ้น และอาจต่ำกว่าเป้าอย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมรัฐบาลยังต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีกยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวช้าไปอีก จึงมีแนวโน้มสูงที่ปี 2564 รัฐบาลจะเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย

ขณะเดียวกัน เงินคงคลังของไทยอยู่ในภาวะตึงตัวเป็นอย่างมาก เพราะถูกรัฐบาลใช้ไปชดเชยการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำกว่าเป้าหลายปีติดต่อกัน ถ้าปี 2564 การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้ามาก จะส่งผลให้ประเทศเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะล้มละลายทางการคลังทันที ถ้ารัฐบาลยังตั้งวงเงินงบประมาณไว้ที่ 3.3 ล้านล้านบาท จึงมีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะต้องกู้เพิ่ม และไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้สาธารณะที่ตอนนี้ประมาณร้อยละ 58 ขอจีดีพีได้ เพราะถ้าจีดีพีในปี 2564 โตต่ำกว่าร้อยละ 5 ที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ จะทำให้หนี้สาธารณะของไทยพุ่งทะลุเพดานจนสูญเสียวินัยทางการคลัง แม้ พลเอกประยุทธ์ จะอ้างประเทศญี่ปุ่นว่ามีหนี้สาธารณะสูงถึงร้อยละ 200 ของจีดีพี แต่ญี่ปุ่นมีฐานภาษีที่ใหญ่และมีความสามารถในการชำระหนี้มากกว่าไทยมากจึงมาเทียบกันไม่ได้

ตนจึงมีข้อเสนอให้ลดวงเงินงบประมาณเพื่อรักษาวินัยทางการคลังไม่เกิน 3.2 ล้านล้านบาท ไม่ใช่การกู้เงินกันถึง 623,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย และแถมเงินกู้ถูกใช้จ่ายไปกับรายการที่ไม่ได้สร้างผลิตภาพผลิตผลให้กับประเทศหลายรายการ เช่น งบลงทุนกระทรวงกลาโหม นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้วยังเกิดค่าใช้จ่ายประจำในการบำรุงเพิ่มด้วย หรืองบก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการกลาโหม ทั้งที่ก่อนหน้าหนี้ตัดงบสร้างอาคารเรียนแล้วโอนกลับมาเป็นงบกลาง 

แนะทำยุทธศาสตร์ส่งเสริมอุตสาหกรรมหลังโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ตนขอเสนอว่าประเทศไทยควรมียุทธศาสตร์ส่งเสริมอุตสาหกรรมหลังวิกฤตโควิดหลักๆ 3 ด้าน คือ 1. อุตสาหกรรมอาหารปลอดภัย 2. อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการปลอดภัย และ 3. อุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุข และการจัดงบสำหรับภารกิจ 3 ด้านนี้ควรพุ่งตรงไปที่กระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยให้มีนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม อีกทั้งรัฐบาลต้องทำ 4 อย่าง ดังต่อไปนี้ 

  • รัฐบาลต้องปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เพื่อให้ระบบราชการมีขนาดเล็กและมีความคล่องตัว เพื่อรองรับการปฏิบัติภารกิจยุทธศาสตร์ทั้ง 3 ด้าน 
  • ต้องกระจายอำนาจให้เกิดรัฐบาลท้องถิ่นที่มีอำนาจเต็มในการบริหารงบประมาณอย่างอิสระและสอดคล้องกับภารกิจยุทธศาสตร์ทั้ง 3 ด้าน 
  • รัฐบาลต้องปฏิรูประบบการศึกษาขนานใหญ่ เพื่อสร้างคุณภาพทรัพยากรมนุษย์รองรับกับความเปลี่ยนแปลงหลังโควิด 
  • ประเทศไทยจำเป็นต้องรื้อโครงสร้างใหญ่ทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง นั่นคือ ต้องแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศ รองรับกับความเปลี่ยนแปลงทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ

ดังนั้น หากรัฐบาลยังยืนยันที่จะจัดทำงบประมาณแบบนี้และกู้เงินอีก ตนขอยืนยันว่านอกจากจะไม่คุ้มค่ากับภาษีของประชาชนแล้ว ยังถือเป็นเงินก้อนสุดท้ายก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าสู่การล้มละลายทางการคลัง

"หัวใจของการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ คือมันสมองและคุณภาพในการใช้เงินของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลใช้เงินไม่เป็น เงินจำนวนมหาศาลนี้ก็จะสร้างภาระหนี้ให้กับประชาชนเพิ่ม ซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข และเป็นเหมือนระเบิดเวลา และอาจพาประเทศไปสู่การล้มละลายทางการคลังได้" น.ส.จิราพร กล่าว

อ่านเพิ่มเติม