การเมือง
Voice Politics : ผลิดอกไม้เหล็ก ‘วทันยา’ ปลดล็อกการเมืองไทยติดหล่ม 2 ขั้ว
ประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยุคที่เลือดกำลังทะลักออก ด้วยเหตุสมาชิกพรรคและ ส.ส.แห่ย้ายไปสังกัดค่ายการเมืองอื่น ในจังหวะเวลาใกล้เข้าสู่ช่วงการเลือกตั้ง แต่ “วทันยา บุนนาค” อดีตนักธุรกิจสาวสวยวัย 38 ปี แต่พรรษาทางการเมืองเพียง 4 ปี กลับเลือกสวนกระแสทิ้งพรรคใหญ่อย่างพลังประชารัฐ (พปชร.) สมัครเข้าพรรคประชาธิปัตย์ นั่งตำแหน่งประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. เพราะหวังว่ามันอาจคือความท้าทายที่จะได้เป็นหนึ่งขุนกำลังคนรุ่นใหม่ นำพาพรรคการเมืองอายุเก่าแก่กว่า 76 ปี กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
“ไม่ได้ผิดหวังเรื่องสภาล่ม แต่เรารู้ว่าสภาล่มในวันนั้น มันคือเกมการเมือง”
“สาเหตุที่เลือกประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่เป็นประชาธิปไตย ทุกคนมีอิสระ 1 เสียงเท่ากัน” เหตุผลที่ วทันยา ตัดสินใจทิ้ง พปชร. เข้าสู่รั้วการเมืองสีฟ้าค่ายประชาธิปัตย์
ดอกไม้เหล็กการเมืองไทยคนนี้ เธอผ่านงานมาอย่างโชกโชน อดีตผู้บริหารบริษัทสื่อ ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี โดยนำทีมคว้าแชมป์การแข่งขันกีฬาฟุตบอลในซีเกมส์ 2017 ก่อนยุติบทบาทต่างๆ และเดินเข้าสู่ถนนการเมืองช่วงเดือนเกิดเมื่อปี 2561
แม้อายุทางการเมืองยังน้อย แต่เป็นอีกหนึ่งดาวเด่นในสนามการเมืองช่วงที่ผ่านมา จากการเป็นแกนนำ “กลุ่ม ส.ส.ดาวฤกษ์” สมัยอยู่พลังประชารัฐ โหวตสวนมติพรรคหลายครั้ง จนเกือบทำให้เกิดแผ่นดินไหวในพรรคร่วมรัฐบาล สุดท้ายเธอตัดสินใจลาออกมาลองถนนการเมืองในบ้านหลังใหม่
- เส้นทางดอกไม้เหล็ก ทิ้งธุรกิจ หวังเป็นฟันเฟืองขั้ว 3 ให้ชาติเดินหน้า
ชีวิตสาวเก่งคุณแม่ลูกสองคนนี้ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเวลาส่วนใหญ่ทุ่มไปที่การทำงาน วันๆหนึ่งจะได้นอนหลับพักผ่อนประมาณ 6 ชั่วโมง วันหยุดและหลังเลิกงานจะทุ่มเวลาทั้งหมดให้ลูกๆและครอบครัว ช่วงวันพักผ่อนอันแสนน้อยนิด
เธอมักมักจะพาลูกไปเรียนพิเศษ หรือออกท่องเที่ยวต่าง ต่างประเทศบ้างเป็นบางครั้งเพื่อพักผ่อนและเปิดโลกทัศน์หามุมมองใหม่ๆ แต่หากไม่ได้ไปไหนก็มักเลือกอยู่บ้านพักผ่อนสมองและร่างกาย โดยเวลาว่างๆหยิบหนังสือทั่วไป หนังสือการ์ตูนมาอ่าน หรือนั่งดูซีรีส์ ผ่อนคลาย
นิสัยส่วนตัวดอกไม้เหล็กการเมืองไทยช่อนี้ เป็นคนชอบเรื่องตลกสนุกสนาน เวลาทำงานมักชอบทำให้บรรยากาศระหว่างทำงานไม่เครียดเกินไปเพื่อจะได้คิดงานอย่างราบรื่น
แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้เธอหากเพียงแค่มองผ่านดวงตาและตีความเป็นตัวเธอด้วยการเห็นบุคลิก ก็มักคิดว่าเป็นคนดุจึงไม่ใครค่อยกล้าเข้าหา แต่ทว่าการทำงานหากเธอมีความเครียดก็จะนำหลักวิธีการที่จากเคยไปปฏิบัติธรรมจนรู้วิธีฝึกสติ ทำให้สามารถจักการกับอารมณ์ได้ดี จึงทำให้ตัวเองมีสติอยู่ตลอดเวลาควบคุมอารมณ์ไม่ให้จมดิ่งไปกับปัญหามากจนเกินไป
“ประสบการณ์มันจะกลับมาสอนเราเองว่า ไม่ให้หวั่นไหวกับปัญหาหรือจมดิ่งจนเกินไป”
สาเหตุการตัดสินใจลาออกจากงานธุรกิจ สู่ถนนการเมือง วทันยา เล่าว่า ถือเป็นการตัดสินใจที่ยาก พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า งานธุรกิจแนวคิดการทำงานจะมุ่งเน้นให้ความสนใจกับองค์กรบริษัทเป็นหลัก แต่การเมืองทำให้บริบทความคิดเปลี่ยนไปสิ้นเชิง เพราะงานการเมืองไม่สามาถคิดได้เพียงแค่เรื่องส่วนตัวหรือองค์กรอย่างเดียว แต่เป็นงานที่ต้องรับผิดชอบต่อประเทศ คล้ายกับจิตอาสาที่เสนอมาเป็นตัวแทนประชาชน ฉะนั้นหลักการทำงานแนวความคิดจากการทำธุรกิจกับการเมืองจึงต่างกันโดยสิ้นเชิง
“หากจำได้วันที่เขียนลาออกจากธุรกิจ ให้เหตุผลตัดสินใจเพื่อเข้าสู่การเมืองว่า จากที่ทำธุรกิจและเห็นประเทศติดหล่มปัญหาการเมืองมากว่า 10 ปี เพราะเมื่อเกิดปัญหาทางการเมืองมันจะเชื่อมโยงถึงภาคธุรกิจ เห็นได้จากเมื่อการเมืองมีปัญหาจะกระทบเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้โอกาสการพัฒนาประเทศหายไป จึงเป็นเหตุผลตัดสินใจมาทำงานการเมือง เพราะหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้” เหตุผลที่ วทันยา ตัดสินใจลาออกจากธุรกิจ สู่ถนนการเมือง
“การเมืองไทยมีสองขั้วใหญ่ ทำให้รู้สึกว่าถ้าการเมืองมันจะมีขั้วสาม ขั้วสี่ ขึ้นมาได้ มันจึงเป็นจุดทำให้คิดว่าตัวเองก็อาจมีส่วนช่วยทำให้การเมืองเคลื่อนไปข้างหน้าได้ โดยไม่ติดหล่มอยู่เพียงสองขั้วเท่านั้น”
ส่วนโจทย์ยากงานการเมือง มาดามเดียร์ อธิบายว่า ต้องมองรอบด้าน 360 องศา เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเราหรือองค์กร มันคือประชาชนทั้งหมด ต่างจากงานธุรกิจที่โจทย์ยากไม่มีอะไรเกินสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเรารู้จักองค์กรดี แต่ถึงวันนี้หากอนาคตจะต้องออกจากงานการเมืองกลับไปงานธุรกิจก็ไม่เสียดาย เพราะมันมีคุณค่ามากและเป็นประสบการณ์หาที่อื่นไม่ได้
“การเมืองมันเหมือนทุเรียน มีทั้งคนรัก แต่ก็มีคนที่เขาไม่ชอบเกลียด ทั้งที่เขาไม่รู้จักตัวตนเราเลย เพียงแค่ไปสังกัดพรรคการเมืองก็ถูกตัดสินทันที ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย”
- หนุนฝ่ายค้าน-รัฐบาลเพื่อประโยชน์ประชาชน
วทันยา บอกว่า สไตล์การทำงานการเมืองของตัวเองยึดผลประโยชน์ประชาชนส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะมาจากภาคธุรกิจจึงเห็นว่าเมื่อการเมืองเกิดความขัดแย้งมันจึงทำให้ประเทศมีอุปสรรคเดือดร้อนจนถึงประชาชนโดยตรง จึงคิดว่าอะไรหากดีเป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่สนว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็พร้อมยินดีสนับสนุน
“ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็จะบอกว่าจะรนหาเรื่องทำไม แต่สาเหตุที่เรามาเพราะอยากเห็นการเมืองเคลื่อนไปข้างหน้า เราก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนจากพิษการเมืองที่ส่งผลมาถึงเศรษฐกิจ ฉะนั้นวันนี้เมื่อมีโอกาสมาอยู่ในการเมือง ถ้ามันจะทำให้ไปเป็นที่พอใจใครแล้วถูกแรงกดดันให้ต้องออกจากการเมือง ก็ไม่เป็นไป”
เธอ ย้ำว่า ถ้าเข้ามา (งานการเมือง) แล้วสุดท้ายต้องเสียตัวตนไปก็ไม่รู้จะเข้ามาทำไม เป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งที่ทำงานและอยู่กับครอบครัวก็ได้ ไม่ต้องเข้ามาอาสามาทำงานเพื่อส่วนรวม แต่เมื่อวันนี้อาสาเข้ามาและได้รับโอกาสเข้าไปในสภาซึ่งเป็นเวทีที่สามารถทำให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องยืนหยัดชัดเจน เพราะถ้าทำไม่ได้ก็กล้าเผชิญแรงกดดัน ก็หยุดเล่นการเมืองไปทำอย่างอื่น
- เหตุทิ้งพรรคใหญ่ พปชร. สู่ ปชป.วันที่กำลังเจอวิกฤต
ชีวิตงานการเมืองกับบ้านพลังประชารัฐ เธอเริ่มคลอดวันที่ 16 พ.ย. 2561 และประกาศลาออก 16 ส.ค. 2565 ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปี วทันยา มองว่า เป็นความรู้สึกที่ดีเพราะพลังประชารัฐให้ประสบการณ์หลายอย่าง แม้จะมีเหตุการณ์ดีหรือทุกข์ใจบ้าง พร้อมยกตัวอย่างความประทับใจดีๆ การได้ร่วมงานกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ทราบถึงแนวทางการทำงานรวมถึงนิสัยใจคอ และระบบการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องช่วยกันขับเคลื่อนผลักดันแก้ไขปัญหาชาวบ้าน
ส่วนสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี ไม่อยากใช้คำว่าไม่ดี เพราะเชื่อว่าทุกองค์กรเมื่อมีคนมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันจำนวนมากก็มีความคิดที่หลากหลายแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์นี้ก็จะนำไปแก้ป้องกันหากต้องเผชิญปัญหาในอนาคต
เธอ ยอมรับว่า สาเหตุที่ตัดสินใจลาออกจากพลังประชารัฐในช่วงสุดท้าย เนื่องจากแนวคิดส่วนตัวกับพรรคไปด้วยกันอาจลำบาก เพราะตนมีความคิดเห็นต่างจากแนวทางของพรรค พปชร.พอสมควรมาระยะหนึ่ง ฉะนั้นจึงฟางเส้นสุดท้ายเมื่อวิสัยทัศน์ไม่ตรงกันก็ลาออกซึ่งเป็นทางเหมาะสมที่สุด
“ไม่ได้ผิดหวังเรื่องสภาล่ม แต่เรารู้ว่าสภาล่มในวันนั้น (รัฐสภาล่ม กรณีร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กลับไปใช้สูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อหาร 100) มันคือเกมการเมือง เพราะเราอยากจะบอกสังคมว่า ไม่ขอรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเดียร์ก็ไม่อยากให้สังคมเห็นเรื่องนี้จนกลายเป็นความคุ้นชิน” วทันยา เผยถึงฟางเส้นสุดท้ายกับบ้าน พปชร.
ส่วนการตัดสินใจเลือกเข้าบ้านประชาธิปัตย์ในวันที่กำลังเผชิญวิกฤต แม้จะมีหลายพรรคการเมืองเข้ามาทาบทาม วทันยา เปิดใจเล่าว่า ช่วงที่ออกจาก พปชร.ได้พูดคุยหลายพรรค แต่สาเหตุที่เลือกประชาธิปัตย์ เพราะมองว่าด้วยความที่เป็นประชาธิปไตยภายในพรรค มุมหนึ่งมันมีความเป็นอิสระของสมาชิกในการจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ได้หากรู้สึกไม่สบายใจ หรือพูดง่ายๆ คือการจะออกความเห็นอะไรในประเด็นต่างๆ สมาชิกทุกคนมีความเท่าเทียม 1 เสียงเท่ากัน และสุดท้ายค่อยไปโหวตในที่ประชุมพรรคเพื่อดำเนินการตามมติ
- เลือดใหม่ ขอเป็นกลไกพา ปชป.พ้นวิกฤต - เชื่อผลงานจะการันตีรางวัล
สำหรับการทำงานในบ้านหลังใหม่ที่มีอายุมายาวนานกว่า 76 ปี เลือดใหม่ ปชป. เชื่อว่า ผลลัพธ์สุดท้ายเมื่อทำงานจริงเพื่อประชาชนจนสามารถสร้างผลงานและได้การยอมรับ จะเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด
“ถ้าเราทำผลงานที่ประชาชนจับต้องได้ เชื่อว่าอันนี้จะเป็นเครื่องตัดสินเราควรดำรงตำแหน่งปาร์ตี้ลิสต์ หรือดำรงตำแหน่งการขับเคลื่อนอะไรภายในพรรค ไม่ใช่มองบริบทภายในพรรคอย่างเดียว”
อย่างไรก็ตามไม่กังวลว่า จะถูกเพ่งเล็งจากผู้ใหญ่ในพรรค เพราะเชื่อในความเป็นประชาธิปัตย์ สุดท้ายทุกคนจะมีความเป็นอิสระในตัวเอง ซึ่งในแง่บริบทสังคมไทยก็ยังเคารพผู้อาวุโส แต่สุดท้ายเชื่อว่าหากมองแต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในพรรคก็จะทำให้หลงทาง เพราะเหนืออื่นใดพรรคการเมืองต้องยึดโยงกับประชาชน
ส่วนเป้าหมายทางการเมืองในประชาธิปัตย์ วทันยา เผยว่า ไม่มีเป้าหมายในแง่ที่จะต้องดำรงตำแหน่งใด แต่เป้าหมายหลักคืออยากทำงานการเมืองสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในวันที่ทุกคนบอกว่าประชาธิปัตย์เลือดไหลออกจะไปไหวต่อหรือไม่ กลับเป็นจุดท้าทายว่าภายใต้ช่วงจังหวะการเปลี่ยนแปลงของประชาธิปัตย์ ตนในฐานะคนรุ่นใหม่จะสามารถช่วยพรรคขับเคลื่อนงานเพื่อไปข้างหน้าได้อย่างไร
“คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เขาไม่เคยเจออุปสรรค แต่มันอยู่ที่ว่าเมื่อเขาเจอจะเลือกเลือกที่จะหนักแน่น หรือเลือกที่จะหนีปัญหา”
ส่วนการทำงานในอนาคตขอไม่ตั้งเป้าต้องได้ตำแหน่งใด แต่คิดว่าส่วนตัวอย่างทำงานด้านวัฒนธรรม เพราะจากที่ได้ทำงานสื่อมา เห็นว่าการพัฒนางานด้านวัฒนธรรมของประเทศสามารถทำได้มากกว่านี้ แต่ปัจจุบันต้องยอมรับความสำเร็จของวัฒนธรรมประเทศไทยวันนี้ส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชน ไม่ได้มาจากรัฐบาล และช่วงที่ได้เข้าไปเป็นกรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณฯ พบว่างบส่วนใหญ่ 80-90% ที่เกี่ยวข้องกับงานฟื้นฟูวัฒนธรรมถูกนำไปใช้เรื่องการรักษาอนุรักษ์ มากกว่าการขับเคลื่อนไปสู่เรื่องอนาคตซึ่งน่าเสียดายมาก ส่วนตัวจึงคิดว่าเมื่อคนไทยมีความคิดสร้างสรรค์และเป็นชาติที่เก่งเรื่องการบริการและต้อนรับ แต่กลับไม่ได้เอาเสน่ห์ตรงนี้มาทำประโยชน์เลยทั้งที่มันทำได้ดีกว่านี้
- ไม่เกิน 10 ปี การเมืองไทยจะเปลี่ยน ไร้ระบบญาติมิตร-เน้นเก่งจริงพัฒนาชาติ
นักการเมืองรุ่นใหม่ คนนี้ ฉายภาพว่า อยากเห็นการเมืองไทยในอนาคตที่เปิดกว้างทางโอกาส มีความเป็นธรรม ยุติธรรม เพราะส่วนตัวเชื่อว่าถ้าเปิดกว้างให้ทุกๆคน ทุกๆฝ่าย เข้ามาการเมืองไทยไม่ใช่เฉพาะเรื่องผู้มีบารมีหรือผู้อำนาจอย่างเดียว ใครก็ได้ที่มีใจอยากทำงานเพื่อส่วนรวม นี่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะการเมืองที่ผ่านมาเรามองแต่ว่าต้องเป็นลูกหลานนักการเมืองหรือเป็นคนมีบารมี จึงเป็นข้อจำกัด
พร้อมเสนอตัวอย่างว่า อย่างกระทรวงแห่งอนาคตของประเทศควรมีผู้ที่เชี่ยวชาญเข้ามาทำงาน แต่ด้วยระบบการแบ่งสันปันส่วน ล็อกคนให้อยู่ภายใต้ระบบคนเดิม จึงทำให้ประเทศไม่ได้คนที่มีความสามารถจริงเข้ามาทำงานขับเคลื่อนประเทศ และเชื่อว่าการเมืองไทยจะหลุดจากระบบเดิมๆ อีกไม่เกิน 5-10 ปี
วทันยา ยังมองถึงการแก้ปัญหาการเมืองไทยว่า ณ วันนี้เมื่อประเทศเข้าสู่ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้ว ไม่ควรมาขัดแย้งกันเรื่องอุดมการณ์ เพราะปัจจัยการนำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จมีหลายวิธี อาทิ ต้องมีผู้นำที่มีศักยภาพ คณะผู้บริหารหรือตัวแทนประชาชนต้องยึดถือทำเพื่อประชาชนไม่ใช่พวกพ้อง ฉะนั้นสิ่งที่อยากให้ทุกคนสนใจคือ ต้องหาผู้นำและตัวแทนประชานที่ทุกคนศรัทธาและเชื่อมั่นว่า พวกเขาจะพาเราไปสู่อนาคตได้ภายใต้การมีระบบการร่วมตรวจที่ดีเพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
