รายการ มองโลก มองไทย ออกอากาศวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 11.30 น. - 12.00 น. ทาง Voice TV
รายการ มองโลก มองไทย ประจำวันที่ 16 พฤศจิกายน 2562
“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” เป็นคำพูดที่คนไทยได้ยินมาตั้งเด็กจนโต เราเคยบอกว่า ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ แต่ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลดูแลและช่วยเหลือชาวนามากน้อยแค่ไหน “มองโลกมองไทย” จะสะท้อนให้ท่านผู้ชมได้เห็น ผ่านเรื่องของผลผลิตข้าวของชาวนาไทย
กระทรวงเกษตรของสหรัฐ หรือ USDA คาดการณ์ว่า ในปี 2562 จะมีผลผลิตข้าวทั้งโลกประมาณ 490 ล้านตันข้าวสาร โดยประเทศที่ผลิตข้าวมากเป็นอันดับ 1 ของโลก คือ จีน มีผลผลิตข้าวราว 145 ล้านตันข้าวสาร หรือ 30% ของผลผลิตข้าวทั้งโลก รองลงมาคือ อินเดีย ,อินโดนีเซีย ,บังคลาเทศ และเวียดนาม ส่วนประเทศไทยปลูกข้าวได้มากเป็นอันดับ 6 ของโลก น่าสังเกตว่า ทั้งหมดอยู่ในทวีปเอเชีย
ประเทศที่ผลิตข้าวได้มากที่สุด
1 จีน 145 (ล้านตัน) สัดส่วน 30%
2 อินเดีย 107 (ล้านตัน) สัดส่วน 22%
3 อินโดนีเซีย 37 (ล้านตัน) สัดส่วน 7.7%
4 บังคลาเทศ 35 (ล้านตัน) สัดส่วน 7.2%
5 เวียดนาม 28 (ล้านตัน) สัดส่วน 5.8%
6 ไทย 20 (ล้านตัน) สัดส่วน 3.9%
ที่มา : USDA
แต่ประเทศที่ผลิตข้าวได้มาก ไม่ใช่ว่าจะส่งออกข้าวมากตามไปด้วย เพราะบางประเทศอย่างจีน ผลิตได้มาก แต่จำนวนประชากรมากและส่วนใหญ่บริโภคข้าว ทำให้จีนมีข้าวไม่เพียงพอบริโภคในประเทศ ต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ
สำหรับประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในปี 2561 อันดับ 1 คือ อินเดีย , รองลงมาคือไทย , เวียดนาม ,ปากีสถาน และสหรัฐ
ประเทศส่งออกข้าวมากที่สุดปี 2561
1 อินเดีย 11.97 (ล้านตัน)
2 ไทย 11.09 (ล้านตัน)
3 เวียดนาม 6.97 (ล้านตัน)
4 ปากีสถาน 3.18 (ล้านตัน)
5 สหรัฐ 2.79 (ล้านตัน)
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
(ก่อนปี 2554 ไทยส่งออกข้าวเป็นดับดับ 1 ของโลก)
จะเห็นว่า หลายประเทศผลิตข้าวได้มากกว่าไทยจำนวนมาก แต่ไทยกลับเป็นผู้ส่งข้าวเป็นอับ 2 ของโลก นั่นก็เพราะเมื่อเทียบกับประเทศผู้ผลิตข้าวรายอื่นๆแล้ว ไทยมีจำนวนประชากรน้อยกว่ามาก จึงบริโภคภายในประเทศน้อยและเหลือส่งออกได้มาก
อย่างไรก็ตามประเทศไทย มีประสิทธิภาพในการปลูกข้าวได้ต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งยังมีต้นทุนการผลิตข้าวสูงกว่าประเทศอื่นๆอีกด้วย
ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ หรือ IRRI ระบุว่า ประเทศที่มีผลผลิตข้าวต่อไร่เฉลี่ยสูงสุดคือ อิยิปต์ 1,690 กิโลกรัมต่อไร่ /รองลงมาคือ สหรัฐ 1,205 กิโลกรัมต่อไร่ /อาร์เจนตินา/จีน 1,050 กิโลกรัมต่อไร่ และ ญี่ปุ่น 1,042 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ
ส่วนในอาเซียน ผลผลิตข้าวต่อไร่ของไทยอยู่อันดับเกือบจะท้ายสุด โดยประเทศที่มีผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยสูงสุดคือ เวียดนาม 875 กิโลกกรัมต่อไร่ /รองมาคือ อินโดนีเซีย 760 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนไทยอยู่เกือบท้ายสุด ที่ 460 กิโลกรัมต่อไร่
ผลผลิตข้าวต่อไร่เฉลี่ยของประเทศกลุ่มอาเซียน
1 เวียดนาม ผลผลิต 875.2 ต่อไร่(กิโลกรัม)
2 อินโดนีเซีย ผลผลิต 760 ต่อไร่(กิโลกรัม)
3 มาเลเซีย ผลผลิต 594 ต่อไร่(กิโลกรัม)
4 ฟิลิปปินส์ ผลผลิต 591 ต่อไร่(กิโลกรัม)
5 ลาว ผลผลิต 552 ต่อไร่(กิโลกรัม)
6 กัมพูชา ผลผลิต 475 ต่อไร่(กิโลกรัม)
7 ไทย ผลผลิต 460 ต่อไร่(กิโลกรัม)
8 พม่า ผลผลิต 425 ต่อไร่(กิโลกรัม)
ที่มา : International Rice Research Institute
ถ้าเราไปดูข้อมูลของเวียดนาม ซึ่งมีพัฒนาการในการปลูกข้าวที่ดีมาก จนขึ้นมาเป็นคู่แข่งของไทยในตลาดค้าข้าวโลก เวียดนามมีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 48 ล้านไร่ ขณะที่ไทยมีพื้นที่ปลูกข้าว 72 ล้านไร่ แต่เวียดนามมีผลผลิตข้าวมากกว่าไทย คือ 45 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 28 ล้านตันข้าวสาร ขณะที่ไทย ผลิตข้าวได้ 34.6 ล้านตันข้าวเปลือก หรือราว 20 ล้านตันข้าวสาร
เวียดนามยังมีต้นทุนการปลูกข้าวต่ำกว่าไทย โดยจากการศึกษาของ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่เก็บข้อมูลภาคสนามเปรียบเทียบการทำนาในจังหวัดเกิ่นเทอ ของเวียนนาม และ ชาวนาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ชาวนาไทย มีต้นทุนการผลิตข้าวต่อไร่ 5,800 บาท ส่วนชาวนาเวียดนาม ต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทต่อไร่ และยังขายได้ในราคาที่สูงกว่า คือ มีรายได้ต่อไร่ 9,600 บาท ส่วนชาวนาไทย 7,300 บาท
รัฐบาลเวียดนามมีนโยบายสนับสนุนชาวนามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากเรื่องของระบบชลประทานแล้ว ยังมีการวิจัยข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆเพื่อส่งออก โดยศึกษาจากพฤติกรรมการบริโภคข้าวของแต่ละประเทศแตกต่างกัน เช่น คนอินโดนีเซียชอบกินข้าวขาวและเหนียวนุ่ม ,มาเลเซีย กินข้าวเมล็ดยาว ขาวและหอม ส่วนคนเอเชียตะวันออก นิยมข้าวเมล็ดยาว ขาว ,จีน ชอบข้าวนุ่มและเหนียว
นอกจากนี้ ตลาดข้าวโลกยังแบ่งใหญ่ๆได้ 3 ตลาด คือ ตลาดแรก กินเพื่ออิ่ม จะนิยมซื้อข้าวขาว คิดเป็น 50% ของตลาดข้าวทั้งหมด หรือประมาณ 21 ล้านตัน , ตลาดที่สอง กินเพื่ออร่อย คือตลาดข้าวหอมและหอมมะลิ มีความต้องการปีละ 3.5 ล้านตัน และตลาดที่สาม คือ กินเพื่อสุขภาพ
ในขบวนการผลิตข้าว มีทั้งต้นน้ำ หมายถึงชาวนา กลางน้ำ คือโรงสีข้าว และปลายน้ำ คือผู้ค้าข้าวสารทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเวียดนามจะดูแลทั้ง 3 ส่วน
นโยบาย 30% เพื่อชาวนา
รัฐบาลมีมาตรการลดต้นทุนให้ชาวนา อุดหนุนดอกเบี๊ยเงินกู้เพื่อซื้อวัตถุดิบ เครื่องมือ อุปกรณ์ ยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีบางส่วน โดยมีนโยบายช่วยชาวนาให้ได้กำไรอย่างน้อย 30% ของต้นทุนการผลิต โดยกำหนดให้พ่อค้าคนกลางต้องซื้อข่าวในราคาที่ชาวนาต้องได้กำไรอย่างน้อย 30% โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรฯ เข้าไปดำเนินการออกประกาศและระเบียบในการคำนวณต้นทุน นอกจากนั้นบริษัทผู้ส่งออกต้องมีแผนเชื่อมโยงกับพ่อค้าคนกลาง เพื่อรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาที่กำหนด โดยรัฐบาลมีเป้าหมายในการส่งออกให้ได้กำไร 2.5-3 เท่าของต้นทุนการผลิตข้าว
ชาวนาต้องทำตามนโยบาย เช่น
1.หลัก “3 ลด 3 เพิ่ม” คือ ลดปริมาณเมล็ดพันธุ์ให้เหมาะสม , ลดการใช้ปุ๋ยเคมี , ลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช , ส่วน 3 เพิ่ม คือ เพิ่มผลผลิต , เพิ่มคุณภาพ และ เพิ่มกำไร
2.หลัก “1 ต้อง 5 ลด” คือ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพ ,ลดปริมาณเมล็ดพันธุ์ , ลดสารเคมีกำจัดสัตรูพืช ,ลดปุ๋ย , ลดการใช้น้ำชลประทาน ,ลดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว
ทำการตลาดทีมเดียว-รุกตลาดข้าวคุณภาพ
การทำตลาดของเวียดนามจะไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ คือ รัฐบาล ผู้ส่งออก และเกษตรกร โดยรัฐบาลเป็นผู้นำทำตลาดแบบ G to G ผ่านสมาคมอาหารเวียดนาม หรือ VFA ที่มีสมาชิกผู้ค้าข้าวกว่า 200 บริษัท ส่วนผู้ส่งออกมีบริษัทขนาดใหญ่ 2 บริษัทคือ Vinafood 1 และ Vinafood 2
ที่ผ่านมา เวียดนามมีปัญหาด้านคุณภาพข้าวต่ำ รัฐบาลก็มีการพัฒนาสายพันธุ์ต่างๆเพื่อให้มีคุณภาพสูงขึ้น และตรงตามความต้องการของตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการตากและการอบข้าว รัฐบาลก็สร้างคลังและไซโลเก็บข้างขนาดใหญ่ รวมถึงร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อตั้งคลังสินค้าในต่างประเทศ เพื่อเก็บรักษาข้าวก่อนจำหน่ายให้มีคุณภาพมากที่สุด
สำหรับประเทศไทย เรามีพื้นที่ปลูกข้าวมากกว่าเวียดนามเกือบ 2 เท่า ขณะเดียวกันก็มีผลผลิตข้าวต่อไร่น้อยกว่าเวียดนามเกือบๆ 2 เท่าเช่นกัน หากรัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร(เช่น ระบบชลประทาน) มีการพัฒนาสายพันธุ์ ให้ความรู้ สนับสนุนต้นทุนการผลิต เพื่อให้ชาวนาไทยผลิตข้าวที่มีคุณภาพ ได้ผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้น เราจะสามารถลดพื้นที่ปลูกข้าวได้เกือบครึ่งหนึ่ง แต่สามารถผลิตข้าวได้เท่าเดิม แต่คุณภาพดีและเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าเดิม
เราก็จะเหลือพื้นที่เพื่อไปทำเกษตร หรือสร้างมูลค่าอื่นๆได้อีกมาก