นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ให้สัมภาษณ์ Voice TV ระหว่างเดินทางมาเก็บของวันแรกเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2561 หลังถูกหัวหน้า คสช. ปลดออกจากตำแหน่ง กกต. ว่า เชื่อว่า คสช. ตั้งใจทำงาน แต่การทำงานบางครั้งไม่แน่ใจว่าเป็นความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองมากเกินไปหรือไม่ จึงหวาดระแวงคนเห็นต่าง และคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกต้อง มองคนเห็นต่างเป็นฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้กองหนุนหายไปทีละกลุ่มสองกลุ่ม ส่วนตัวมองว่า คสช. ต้องรู้จักฟังเสียงของคนกล้าพูดแตกต่าง ไม่ใช่ฟังแต่เสียงที่นิยมเยินยอตนเองแต่ฝ่ายเดียว มิเช่นนั้นจะหลงคำชม ทั้งที่ความจริงมีมุมที่ต้องปรับปรุงแก้ไขด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่ตรงข้ามกับ คสช. เพราะถ้าจะให้คะแนนก็ยังมองว่า คสช. มีด้านดีมากกว่าด้านไม่ดี
เมื่อถามถึงกรณีเคยแต่งกลอน หอเอน ‘ต้องทำใจ งานใหญ่ ให้ต้องเอียง’ ตอนนั้นคิดอย่างไร และปัจจุบันยังคิดแบบนั้นอยู่หรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า ตอนแต่งกลอนมีคำว่า ไม่เป็นกลาง เอียงข้าง ประชาไทย คือเอียงข้างประชาชนซึ่งเป็นศัพท์ฝ่ายซ้ายในสมัยก่อน เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ตอนนั้นไม่ได้หมายความว่าเอียงข้าง ‘มวลมหาประชาชน’
เมื่อถามว่า ‘ประชาชน’ มีหลายฝ่ายทั้ง มวลมหาประชาชน และ ประชาชนที่อยากเลือกตั้ง ส่วนตัวให้น้ำหนักกับฝ่ายไหน
นายสมชัย กล่าวว่า ไม่ได้ให้น้ำหนักกับฝ่ายไหน แต่ให้น้ำหนักกับกติกา เพราะเป็น กกต. กฎหมายกติกาว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ถึงวันนี้กรณีกปปส. ทำความผิดกฎหมาย ทางกกต.ก็มีมติเอกฉันท์ ส่งอัยการฟ้องหมดทุกจังหวัด อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังเลือกตั้ง มีเอกอัครราชทูตจากต่างประเทศมาถามว่าทำไม กกต. ไม่เอาจริงเอาจังในการจัดการเลือกตั้ง จึงได้ตอบว่า ถ้าเลือกตั้งแล้วมีคนตายก็ไม่ทำ เราเป็นเมืองพุทธ ถ้ามีการฆ่ากันก็เป็นบาป ไม่อยากให้มีคนตาย และขณะนั้นไม่อยู่ในภาวะที่รัฐบาลจะอำนวยการให้เกิดการรักษาความสงบได้เราจึงขอขยับไปก่อน
นายสมชัย กล่าวด้วยว่า ตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอด ไม่ใช่ฝ่ายสนับสนุนเผด็จการ เพียงแต่ว่าอยู่ในฐานะ กกต. ทำงานภายใต้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร คนจึงคิดว่าเชียร์รัฐบาลจากการรัฐประหาร ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะส่วนตัวก็เคยแสดงความเห็นต่างจาก คสช. ไปหลายเรื่องก่อนหน้านี้ เช่น คำถามประชามติที่มองว่าบางข้อไม่เป็นกลางมีการชี้นำ ถ้าไม่มีจิตใจประชาธิปไตยจะพูดทำไม ก็คงเพียงแต่รับมาทำเฉยๆ