ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินเรื่องการนำหุ่นยนต์และระบบ AI เข้ามาทำงานบางอย่างแทนมนุษย์มากขึ้น โดยจะเห็นได้จากบริษัทเทคโนโลยีหลายรายต่างเร่งพัฒนาระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จนหลายคนกังวลว่าในอีกไม่กี่ปีนี้หึ่นยนต์จะแทนแรงงานคนได้ แต่ว่าในตอนนี้บริษัทแอมะซอน ได้ออกมาประกาศว่า ขยับยั้งการใช้หุ่นยนต์ทำงานในโกดังก่อน และกว่าจะให้ระบบหุ่นยนต์พร้อมต้องรอไปอีก 10 ปีเลยทีเดียว
เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก สก็อต แอนเดอสัน ผู้อำนวยการฝ่าย Amazon Robotics Fulfillment ของบริษัทแอมะซอน ได้กล่าวว่า ตอนนี้บริษัทกำลังยับยั้งแผนที่จะนำหุ่นยนต์และระบบ AI เข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ในโกดังคลังสินค้า โดยระบุว่ามีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีบางอย่างที่หาข้อสรุปไม่ได้ ในขณะที่แรงงานมนุษย์ปัจจุบันก็ประสิทธิภาพ มีการรับรู้เหตุผลต่างๆและตัดสินใจในบางสถานการณ์การได้ดีกว่าหุ่นยนต์ และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกกว่า 10 ปี ถึงจะสามารถสร้างระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในโกดังได้
โดยแอนเดอสัน ระบุว่าตอนนี้ปัญหาสำคัญที่ทำให้ต้องยับนั้ง ก็เพราะว่า เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอที่จะหยิบสินค้าจากชั้นวางของโดยไม่เสียหายเหมือนที่มนุษย์สามารถทำได้ง่ายๆ นอกจากนี้ ด้านเดเร็ก โจนส์ ซึ่งเป็นผู้บริหารที่ดูแลกิจการอาหารสดอย่าง Amazon Fresh ระบุว่า มนุษย์สามารถทำตามคำสั่งลูกค้า เช่น ขอกล้วยสุกหรือดิบได้โดยง่าย แต่หุ่นยนต์กลับทำได้ยาก นั่นแสดงว่าความเข้าใจของหุ่นยนต์ที่มีต่อคำสั่งละเอียดอ่อนบางประการของมนุษย์ ยังเป็นไปได้ยาก
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า แอมะซอนกำลังเตรียมโกดังสินค้าอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และหุ่นยนต์เข้ามาจัดการแทนมนุษย์ แต่แอนเดอสันกล่าวว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การทดสอบเท่านั้น และผลการทดสอบทำให้เห็นถึงปัญหาของระบบประมวลผล และชุดคำสั่งที่ยังไม่มากพอ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันแอมะซอนมีโกดังสินค้า 110 แห่งในสหรัฐฯ ศูนย์คัดแยกสินค้าอีกกว่า 45 แห่ง และสถานีส่งมอบสินค้าอีก 50 แห่ง และมีพนักงานมนุษย์ในคลังสินค้ารวมทั้งสิ้น 125,000 คน และระบบการจัดเรียงของสินค้าทั่วไปจะใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วย รวมไปถึงให้หุ่นยนต์ช่วยในการจัดแต่งโคมไฟ ประดับตกตแงคลังสินค้า รวมไปถึงช่วยกิจกรรมต่างๆของลูกค้า เช่นพายเรือคายัค หรือปั่นจักรยานเป็นต้น แต่ก็ยังจ้างแรงมนุษย์อยู่ ทั้งนี้การนำหุ่นยนต์มาช่วยนั้น ได้ส่งผลต่อการเพิ่มมาตรฐานการให้บริการที่สูงขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะลดระยะเวลาการส่งสินค้าสำหรับลูกค้า Amazon Prime ให้เหลือเพียงแค่วันเดียว จากแต่ก่อน 3-4 วัน รวมไปถึงตั้งเป้าที่จะทำให้เวลาตั้งแต่ลูกค้ากดสั่งซื้อสินค้า ไปจนหาสินค้าและเคลื่อนย้ายออกจากโกดัง มีเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง โดยความเร็วที่เกิดขึ้นได้ อาจต้องพึ่งระบบอัตโนมัติ
ในขณะที่เรื่องแรงงานหุ่นยนต์ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น สำหรับแอมะซอนแล้ว ถือว่าก้าวกระโดดอย่างมาก โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 แอมะซอนลงทุนกว่า 24,000 ล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบหุ่นยนต์ในคลังสินค้าภายใต้ชื่อที่เรียก ว่า Amazon Robotic จุดเด่นคือแขนกลสีเหลืองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพระเอกหลักของระบบอัตโนมัติทั้งหมด หน้าที่ของมันก็คือ จัดการเรียงกล่องใส่ของ แล้วนำกล่องเหล่านั้นไปยังที่เก็บสินค้า ซึ่งแอมะซอนยืนยันว่า ความก้าวหน้าแบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่า หุ่นยนต์จะมาแทนที่แรงงานมนุษย์แต่อย่างใด เพราะหลังจากมีการประกาศกฎแบบนี้ ก็ทำให้เกิดการจ้างงานมนุษย์เพื่อช่วยจัดสินค้าอีกกว่า 80,000 ตำแหน่งเลยทีเดียว
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายก็มองว่า ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงภัยของการถูกแย่งงานจากหุ่นยนต์เพราะเมื่อบริษัทมีการเติบโตมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้บริษัทต้องจ้างคนมากขึ้นเช่นเดียวกัน และแอมะซอนก็ไม่ได้มีแผนจะแย่งงานมนุษย์ เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวดันแรงงานไร้ฝีมือจะต้องปรับตัว เรียนรู้เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องจักรขณะที่แรงงานบางส่วนก็ต้องอัพเกรดตัวเองไปเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ฉลาดและมีคุณภาพสูงขึ้นแทนการเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเดียว เรื่องนี้ก็รอดูกันต่อไป แต่ที่แน่คือหุ่นยนต์ยังไม่แทนที่ในเร็ววัน ขั้นต่ำคือ10 ปี เพราะต้องรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ การจำ และการวิเคราะห์อีกมาย