ชาวเมียนมาเดินหน้าประท้วงช่วงเทศกาล 'ปีใหม่' ด้วยการสาดสี ทาสี พ่นสเปรย์สีแดงลงบนท้องถนน ป้ายรถเมล์ และสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการนองเลือดและการใช้ความรุนแรงของกองทัพในการปราบประชาชนที่ออกมาประท้วงการทำรัฐประหาร ซึ่งในขณะนี้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องถูกสังหารโดยน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐไปแล้วมากกว่า 700 ศพ โดยทาง หน่วยจับตาสถานการณ์ท้องถิ่นเผยว่าขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตที่ถูกรายงานอยู่ที่ 714 ราย แต่ตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้มาก 

นอกจากการสาดสีไปยังพื้นที่ต่างๆ เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แล้ว ชาวเมียนมายังได้เขียนข้อความเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับผู้ชุมนุมที่ต้องสูญเสียชีวิตหลังการออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รวมถึงการส่งข้อความถึงประชาคมโลก และสหประชาชาติ หรือ UN 

โดยมีข้อความระบุว่า "UN ที่รัก เป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าคุณจะสบายดี แต่เราชาวเมียนมากำลังล้มตาย" ขณะที่ในมัณฑะเลย์มีการสเปรย์ข้อความว่า "ขอให้กองทัพเผด็จการพังพินาศ" "เอาชนะยุคสมัยแห่งความหวาดกลัว" และ "เลือดบนถนนยังไม่แห้งเหือด"

UN ประณาม-กดดัน ยุติอาชญากรรมต่อมนุษย์

มิเชล บาเชเลต์ ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เตือนว่าสถานการณ์ในเมียนมาอาจนำไปสู่ความรุนแรงเต็มรูปแบบดังเช่นสถานการณ์ในประเทศซีเรีย นอกเสียจากว่าความรุนแรงทั้งปวงจะลดน้อยลง โดยเธอได้แสดงการเรียกร้องไปยัง ประเทศต่างๆ ที่มี 'อิทธิพล' ต่อเมียนมา ให้เร่งกดดันโกองทัพเมียนมายุติการใช้ความรุนแรงกับประชาชนของตัวเองโดยทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกดดันจาก "ประเทศเพื่อนบ้าน"

ราวินา แชมดาซานิ โฆษกสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุถึงถ้อยแถลงของ มิเชล บาเชเลต์ เพิ่มเติมว่า ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติชี้ว่าสถานการณ์ในเมียนมาสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับซีเรียเมื่อปี 2554 ครั้งที่ผู้ชุมนุมมือเปล่าที่ออกมาประท้วงอย่างสงบถูกจัดการอย่างรุนแรง ไม่จำเป็น และไม่เหมาะสมโดยกองกำลังจากภาครัฐ ซึ่งความโหดร้ายทั้งปวงที่รัฐกระทำกับผู้คนของตัวเอง ทำให้ประชาชนหลายคนลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้ และแผ่ขยายความรุนแรงไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

จัดการ 'หัวหน้าแก๊ง' โดยความร่วมมือของทุกประเทศ

ทอม แอนดรูว์ ผู้แทนพิเศษสหรประชาชาติประจำเมียนมาระบุกับ The Guardian ของออสเตรเลียว่าเขาได้ให้คำปรึกษากับรัฐบาลออสเตรเลียว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถจัดการกับกองทัพเมียนมาได้ โดยระบุว่าการคว่ำบาตรนั้นต้องเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงรัฐบาลเดียว ไม่ใช่แค่เพียงรัฐบาลออสเตรเลียเท่านั้น แต่ต้องเป็นการร่วมมือกันคว่ำบาตรคณะรัฐประหารเมียนมาอย่างเป็นกลุ่มก้อนและเชื่อมโยงร่วมกับชาติอื่นๆ 

แม้ที่ผ่านมารัฐบาลออสเตรเลียจะมีการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่กองทัพเมียนมาอยู่แล้วทั้งหมด 5 คน ตั้งแต่ปี 2561 แต่สำหรับกรณีการทำรัฐประหารครั้งนี้ยังช้าอยู่มาก และเขาไม่เพียงหวังว่าทุกชาติจะยกระดับการคว่ำบาตรเท่านั้น เพราะสิ่งเดียวที่จะมีประสิทธิภาพได้คือต้องเชื่อมโยงการคว่ำบาตรเข้าหากัน และต้องมุ่งเน้นจัดการไปที่ "หัวหน้าแก๊ง" อย่าง พลเอกอาวุโสมินอ่องหล่ายน์เป็นอันดับแรก