ไม่พบผลการค้นหา
412 ต่อ25 เห็นชอบรายงาน กมธ.เสียงข้างมากต่อสัมปทาน 'ทางด่วน-ค้านรถไฟฟ้าสีเขียว' ชงครม. 'สุรเชษฐ์' ชู 5 ข้อเตือนรัฐเสียหายล้มมวยไม่สู้-จ่ายค่าแกล้งโง่ โต้นัว-รับส่วยเขียนอวย

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) ที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว 

เสียงข้างมากชงต่อสัมปทาน'ทางด่วน-ค้านรถไฟฟ้าสีเขียว' 

นายวีระกรคำประกอบส.ส.นครสวรรค์พรรคพลังประชารัฐในฐานะประธานกมธ. ชี้แจงถึงผลการพิจารณาของกมธ.ว่าแบ่งออกเป็น 2 เรื่องคือ 1.กมธ.เสียงส่วนใหญ่เห็นควรขยายสัมปทานทางด่วนเพื่อเป็นการยุติข้อพิพาททั้งหมดระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) (BEM) เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อปัญหาการแพ้คดีต่างๆ ซึ่งจะเป็นข้อพิพาทในอนาคต โดยเฉพาะจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาให้กทพ. แพ้แล้ว1 คดีและต้องชดเชยค่าเสียเป็นมูลค่ากว่า 4.3 พันล้านบาทซึ่งข้อพิพาทอื่นล้วนเป็นคดีขอพิพาทในลักษณะเดียวกันกับที่ศาลได้พิพากษาเป็นบรรทัดฐานแล้ว

ดังนั้นหากกทพ.พิพาทคดีต่อไปโดยไม่เจรจามีโอกาสที่สูงที่จะแพ้คดีที่มูลค่าสูงสุดทุกคดีรวมดอกเบี้ยเป็นเงิน 3.2 แสนล้านบาทซึ่งอาจส่งผลต่อสภาวะทางการเงินของกทพ.ได้ปัจจุบันสภาพการจราจรในส่วนของทานด่วนชั้นที่2 อยู่ในสภาพวิกฤตจากการศึกษาพบว่าหากมีการปรับปรุงทางด่วนจะสามารถลดเวลาการเดินทางได้ดังนั้นเงื่อนไขต่างๆกมธ.ขอให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบและโปร่งใส่รวมถึงกระทำโดยชอบด้วยกฏหมายและควรกำหนดสัดส่วนผลประโยชน์ระหว่างรัฐและเอกชนรวมถึงปรับค่าผ่านทางให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด 

2.การขยายสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส โดย กมธ.เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกรณีที่กทม.จะขยายสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพราะสัญญาเส้นทางหลักยังเหลืออีกหลายปีเมื่อสิ้นสุดสัมปทานในปี 2572 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าทำให้รัฐมีอำนาจในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทั้งหลายที่จะโอนกลับมาและจะทำให้รัฐมีอำนาจในการต่อรองของการกำหนดอัตราค่าโดยสารจะถูกลงประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงได้ส่งผลให้ใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลงจราจรในกทม.ดีขึ้นจึงขอให้สภาฯพิจารณาและให้ความเห็นชอบเสนอรายงานข้อเสนอแนะและข้อสังเกตไปยังครม.เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป 

'สุรเชษฐ์' ชู 5 ข้อเตือนรัฐเสียหายล้มมวยไม่สู้-จ่ายค่าแกล้งโง่ 

กมธ.ที่ขอสงวนความเห็นได้อภิปราย โดย นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ในฐานะรองกมธ. กล่าวว่าในการพิจารณาเรื่องรถไฟฟ้าบีทีเอสตนเองเห็นตรงกับเสียงข้างมากกล่าวคือไม่ควรขยายสัญญาสัปทาน

ขณะที่อีกเรื่องคือการต่ออายุสัปทานทางด่วนอีก 30 ปีนั้นตนอยู่ฝ่ายกมธ.เสียงข้างน้อยคือไม่ควรขยายสัญญาสัปทานเช่นกันด้วยเหตุผลคือ

1.ความชอบด้านกฎหมายที่อาจเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ต่อการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนซึ่งเมื่อได้อำนาจมามีการเจรจายอมความกันแล้วก็นำเอาเงินรัฐไปจ่ายเอกชน

2.สำหรับประเด็นโอกาสในการแพ้คดีนั้นอัยการที่ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินคดีตามกฎหมายและบุคคลผู้ที่ถือคคีอยู่ในมือในนามรัฐได้ให้การในกมธ. และย้ำว่าควรจะสู้คดีต่อซึ่งสามารถสู้ได้ไม่ควรยอมแพ้และถึงแม้แพ้ก็ควรหาผู้กระทำผิดไม่ใช่ยอมความปกปิดไปเราควรเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตทั้งนี้ยืนยันว่าเราควรสู้คดีแม้ว่าจะแพ้1 คดีแต่การเจรจาล้มมวยอีก 16 คดีเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องสู้ได้และควรสู้

3.การขยายสัมปทานที่ว่ารัฐไม่เสียอะไรนั้นเป็นความคิดที่ผิดรัฐเสียประโยชน์เพียงแต่เปลี่ยนจากการจ่ายเงินสดเป็นเงินผ่อนแทนโดยรายได้จากการจัดเก็บค่าผ่านทางไปเข้ากระเป๋าเอกชนแทนไม่ใช่เข้ารัฐ

4.ประเด็นโครงการทางด่วนใหม่หรือ Double Deck เป็นโครงการใหญ่ต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดถึงความคุ้มค่าและต้องปฏิบัติตามขั้นตอนปกติต่อไปไม่ใช่มุบมิบเจรจาแล้วรีบพ่วงเข้ามาในการหาเรื่องต่อสัญญา

5.การให้เอกชนมาร่วมบริหารจัดการสามารถทำได้ในรูปแบบอื่นๆจึงควรดำเนินการตามช่องทางปกติให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม

"เสียงข้างมากไม่ได้แปลว่าถูกผมเห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมากเรื่องไม่ขยายสัมปทานบีทีเอสขณะที่เรี่องขยายสัปทานทางด่วนก็ไม่ควรขยายเช่นกันซึ่งผมเป็นเสียงข้างน้อยทั้งนี้มติที่สภาผู้แทนราษฎรที่กำลังจะลงกันนั้นก็คือจะส่งรายงานฉบับนี้ออกไปหรือไม่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าต้องส่งจะได้เห็นว่าใครทำเพื่อประชาชนและใครทำเพื่อนายทุนเราอย่าปล่อยให้ค่าโง่กลายเป็นค่าแกล้งโง่ต้องช่วยกันเปิดเผยในเรื่องนี้" นายสุรเชษฐ์กล่าว

ชลน่านมึนรายงานแปลก แนะดึงกลับทบทวน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ข้อสังเกตของกมธ.ที่ขัดแย้ง และไม่เป็นเอกภาพ ทำให้อาจมีปัญหาต่อการส่งรายงานให้หน่วยงานไปปฏิบัติเพราะในรายงานกมธ.ไม่ได้ระบุถึงเหตุผลต่อการนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล บุคคลที่กระทำผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการรู้ ขณะที่ข้อสังเกตของกมธ. และมีความเห็นส่วนบุคคลระบุไว้ เชื่อว่า ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้และที่สำคัญหากสภาฯให้ความเห็นรายงานฉบับนี้อาจถูกตีความการทำงานได้ แม้ว่ารายงานของสภาฯจะไม่มีผลผูกมัดใดๆ ต่อหน่วยงาน สัญญาสัมปทานทางด่วน อนุมาณว่าเสียงส่วนร่วมควรต้องต่อ เพื่อไม่ให้แพ้คดี หลังจากที่มีคดีแรกมีคำตัดสินแล้ว ขณะที่การขยายสัญญาบีทีเอสไม่ควรต่อสัญญา และมีความเห็นส่วนตัวของกมธ. ซึ่งที่ผ่านมารายงานของกมธ. ไม่เคยมีเขียนแบบดังกล่าว จึงขอฝากกมธ.ที่ต้องทำงานแทนสภาฯ ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของสภาฯ ให้มาก ไม่ใช่ทำรายงานที่นำไปอ้างอิงใดๆ ไม่ได้จึงขอให้นำรายงานกลับไปทบทวน

โต้นัว-รับส่วยเขียนอวย

ช่วงหนึ่งนายนวัธเตาะเจริญสุขส.ส.ขอนแก่นพรรคเพื่อไทยได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า“มีข่าวลือว่ากมธ.มีส่วนได้ส่วนเสียกับการต่อสัญญาสัมปทานผมไม่เชื่อนะแต่ถ้าเป็นจริงจะเป็นเรื่องเลวชั่วที่สุด” แต่นายศุภชัยโพธ์สุชรองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ขอให้ถอนเพราะเป็นการกล่าวหานายนวัธยอมถอนแต่ขอใช้คำว่า“มีคนมาพูดกับผมแบบนี้จึงขอให้กมธ.เอารายงานฉบับนี้ออกไปก่อนอย่างเพิ่งลงมติ” ทำให้นายยุทธพงศ์ ในฐานะกมธ. ลุกขึ้นประท้วงว่า“ท่านนวัธพูดแบบนี้ถือเป็นการเรื่องเสียหายอย่าปล่อยคนที่พูดกับท่านผมขอท้าให้ดำเนินคดีเอาให้ติดคุยเลยเพราะกมธ.ชุดนี้รับรองได้ว่า ไม่มีใครคตโกง และไม่มีใครผัวพันกับคดีฆ่าคนตายแน่นอน” ทำให้นายนายนวัธลุกประท้วงกลับทำให้นายศุภชัยได้พยายามตัดบทให้การประชุมดำเนินการต่อไป 

412ต่อ25 เห็นชอบรายงานชงครม. 

ภายหลังอภิปรายกว่า 4 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับข้อสังเกตของกมธ.วิสามัญฯ เห็นควรให้ขยายสัมปทานทางด่วนเพื่อเป็นการยุติข้อพิพาททั้งหมดระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) (BEM) แต่ไม่เห็นควรให้มีการขยายสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส ด้วยคะแนน 412 ต่อ 25 งดออกเสียง 20 เพื่อนำเสนอรายงานวิสามัญฯให้ครม.พิจารณาต่อไป