วิลเลียม เพเซก นักข่าวมือรางวัลผู้ประจำการอยู่ ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัย เลือกปิดท้ายมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจไทยว่า ผู้คนสามารถถกเถียงได้เต็มที่ว่า ชาติไทยติดอยู่ในกับใดกันแน่ระหว่าง วิกฤตการเงินเอเชียปี 2540, รัฐประหารปี 2549 เพื่อโค่น 'ทักษิณ ชินวัตร' โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หรืออีกหนึ่งปรากฎการณ์กองทัพยึดอำนาจพลเรือนในปี 2557 ที่ 'ชินวัตร' คนหญิงถูกล้มโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นเช่นไร 'ไทย' ไม่มีทางฟื้นตัวอย่างสวยงามหลังวิกฤตโรคระบาดนี้จบลงแน่
วิลเลียม เขียนบทวิเคราะห์ชิ้นนี้ลง Nikkei Asia หรือที่คุ้นกันในชื่อเก่าอย่าง Nikkei Asian Review เมื่อ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเลือกอ้างอิงข้อมูลพื้นฐานจากธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานของรัฐเป็นหลัก
เขาระบุว่า ขณะที่ประเทศอื่นเริ่มเห็นหนทางฟื้นตัวกันในปี 2565 สำหรับประเทศไทย ต้องรอจนถึงหนึ่งปีถัดจากนั้น มุมมองดังกล่าวไม่เพียงออกมาจากนักวิเคราะห์ชาวต่างชาติ แต่ยังออกมาจากปากของ 'เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ' ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนปัจจุบัน - หนึ่งในบุคคลที่น่าจะทราบสถานการณ์เศรษฐกิจและข้อมูลของชาติมากกว่าใครๆ
คำตอบโดยตรงที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ฟื้นตัวเหมือนเพื่อน เป็นเพราะการระบาดถึงสามรอบที่สร้างผลกระทบอย่างหนัก ทำให้การฟื้นเศรษฐกิจที่คนในวงการเศรษฐศาสตร์นิยมใช้ลักษณะตัวอักษรภาษาอังกฤษมาอธิบายนั้นมาตกที่รูป 'ตัวเค' (K)
เป็นอีกครั้งที่วิลเลียมไม่ได้เลือกสรุปว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวในรูปตัวเคจากบทวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์ต่างชาติ แนวคิดดังกล่าวออกมาจากปากของ 'ดอน นาครทรรพ' ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธปท. ทั้งยังเคยดูเศรษฐกิจมหภาคของไทยมาเป็นเวลานาน เช่นเดียวกัน
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจรูปตัวเคหมายความว่า เมื่อชาติใดก็ตามผ่านภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ภาวะที่จีดีพีประเทศติดลบต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ไตรมาส) มาแล้ว อุตสาหกรรมหรือบางภาคส่วนของเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น
จะเห็นได้จากรูปว่าเมื่อกราฟลงจนถึงจุดต่ำสุดแล้วก็ผงกหัวขึ้น ขณะเดียวกันเศรษฐกิจอีกส่วนของประเทศกลับเดินหน้าตกต่ำต่อเนื่อง ฟื้นตัวไม่ขึ้นต่อไป
กรณีของไทย จีดีพีของชาติเราติดลบมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ด้วยตัวเลข 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (yoy) ก่อนจะดิ่งไปที่ติดลบ 12.1% ในไตรมาส 2/2563 และฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยที่ระดับติดลบ 6.4% ในไตรมาสที่สามของปี
สถานการณ์ประเทศกลับมาลงเหวอีกครั้งกับการระบาดระลอกที่สองและสาม อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เคยปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าปรับลดลงมาอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ส่งความเลวร้ายต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสแรกของปีนี้
ตามคำอธิบายของดอน นาครทรรพ ภาคเศรษฐกิจอย่างการส่งออกฟื้นตัวแล้ว แม้จะมีการระบาดระลอกใหม่ เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้พึ่งพาอุปสงค์นอกประเทศและหลายชาติฟื้นตัวแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังต้องอยู่ในมิติพิศวงไปอีกนาน
ปัญหาของเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีแค่การระบาดสามรอบ สยามเมืองยิ้มแท้จริงตกอยู่ในภาวะ 'กึ่งยิ้มไม่ออก-กึ่งวิกฤต' มาตั้งแต่ก่อนมีโควิด-19 ด้วยซ้ำ และรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เข้ามายึดอำนาจในปี 2557 ก็ไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้นแม้แต่น้อย
หลังวิกฤตการเงินเอเชียระหว่างปี 2540-2541 หรือที่รู้จักกันในชื่อวิกฤตต้มยำกุ้ง ไทยมีรัฐบาลจำนวนมากเข้ามาเปลี่ยนมือบริหารประเทศ - ทั้งรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาหรือที่ยึดอำนาจแล้วแต่งตั้งตัวเองขึ้นมา - โดยแทบทั้งหมดสัญญาว่าจะทำให้ชาติรุ่งเรือง แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้าม
วิลเลียม หยิบกรณีศึกษาในยุคทักษิณขึ้นมา โดยให้ความเห็นว่า นายกผู้ได้รับความนิยมคนนี้สัญญาต่อประชาชนว่าจะปรับโครงสร้างระบบและปลูกถ่ายความเจริญรุ่งเรืองโดยทั่ว ทว่ากลับสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อธุรกิจครอบครัวตนเอง ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับ 'ซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี' - อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี 3 สมัย (2537-2538, 2544-2549, 2551-2554) ทั้งยังเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อใหญ่และเคยเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน ระหว่างปี 2529-2560
หลังขึ้นจุดสูงสุด รัฐบาลทักษิณถูกโค่นโดยกองทัพในปี 2549 หลังจากนั้นมีหลากหลายคนผลัดเปลี่ยนมานั่งเก้าอี้ผู้นำไทย รวมไปถึงน้องสาวจากตระกูลชินวัตรอีกคน 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และสร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย ก่อนถูกรัฐประหารซ้ำรอยพี่ชายในปี 2557
นับแต่นั้นเป็นต้นมาประเทศไทยอยู่ในกำมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ที่ไม่เคยหยุดดูหมิ่นเยียดหยาม 'ระบอบทักษิณ' แต่ก็ไม่ได้มีแนวนโยบายแตกต่างกันแม้แต่น้อย อดีตทหารผู้เปลี่ยนมานั่งบริหารประเทศไม่ได้ทำอะไรนอกจากแจกเงิน โดยไม่สร้างความสามารถในการแข่งขันหรือพัฒนานวัตกรรมของชาติแม้แต่น้อย
พล.อ.ประยุทธ์ ทิ้งโอกาสในช่วงที่ดวงอาทิตย์แห่งเศรษฐกิจยังส่องสว่างบนท้องฟ้าประเทศไทย ระหว่างปี 2557 ถึงต้นปี 2563
แทนที่จะใช้เวลาดังกล่าวกำจัดระบบราชการที่ล้าหลัง, ลงทุนในภาคการศึกษา, เพิ่มผลิตภาพ และรักษาระดับการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียหรือเวียดนาม รวมไปถึงการแก้ปัญหาความเสี่ยงจากจีนที่เพิ่มขึ้น นายกผู้นี้กลับไม่ทำสักอย่างที่กล่าวมา
สิ่งเดียวที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ในการบริหารประเทศคือเดิมพันทุกอย่างกับการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวต่างชาติ, ส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ - สามแนวคิดเสาหลักเศรษฐกิจไทยที่ใช้กันมาตั้งแต่กลางยุค 90 - ก่อนที่โควิดจะมาทำลายทั้งสามเสาเศรษฐกิจนี้ลงทั้งหมด
ระดับหนี้ครัวเรือนปัจจุบันของไทยอยู่ที่ 89.3% ต่อจีดีพี เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ ธปท.เก็บสถิติ สะท้อนอย่างชัดเจนว่าครัวเรือนไทยเปราะบางอย่างมากต่อผลกระทบของโควิด-19 ซ้ำร้าย เงินกู้มหาศาลที่รัฐบาลหยิบมาใช้ ก็ไม่ช่วยให้คนในชาติลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้
ระดับรายบุคคลว่าย่ำแย่แล้ว ไทยยังเดินถอยหลังอย่างชัดเจนในระดับชาติ เพราะอาจตกจากประเทศรายได้ปานกลางสะดับสูง - ซึ่งคำนวณจากรายต่อหัวประชากรเกิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี ประมาณ 311,000 บาท/ปี ลงไปเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับกลางหรือระดับต่ำในไม่ช้า
15-20 ปีที่ผ่านมากับระบอบการเมืองไร้ประสิทธิภาพนำไทยไปสู่ 'ทศวรรษที่หายสาบสูญ' เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเป็นเช่นนี้นับตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ด้วยซ้ำ
"หนึ่งในเศรษฐกิจที่มีศักยภาพที่สุดของเอเชียต้องเผชิญความเลวร้าย เพราะเหล่าผู้นำที่ติดอยู่ในโลกเก่า"