วันที่ 31 พ.ค. 2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเรื่องด่วนวาระการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท ในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ โดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายถึงภาพรวมเหตุผลที่พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่สามารถรับหลักการร่างงบประมาณฯ ครั้งนี้ได้ โดยย้ำว่า งบประมาณที่เสนอมา 3.185 ล้านล้านบาท ไม่เห็นความสำคัญของปัญหาในประเทศ ไม่เห็นหัวพี่น้องประชาชน ไม่มีความสัมฤทธิ์ผล มติพรรคร่วมฝ่ายค้านบอกชัดเจนแล้ว จากการพิจารณาเอกสารทั้งหมด สถานการณ์ในประเทศ ประกอบกับผู้บริหารงบประมาณคือ ครม. เราไม่สามารถรับหลักการได้เลย เพราะการหลักการเท่ากับการทำลายประเทศ สู้เสียโอกาสไปบ้าง ใช้เวลาไม่มาก นำเม็ดเงินเหล่านี้ไปจัดสรรใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ล้วนแต่เกิดจากการบริหารงานที่บกพร่องของรัฐบาล แต่รัฐบาลกลับไม่รู้เท่าทัน ขาดการวางแผนเพื่อแก้ปัญหา เป็นเหตุให้ประเทศเราขณะนี้อยู่ในภาวะ รายได้หด รายจ่ายแพง หนี้สินขยายตัว
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เหตุผลแรกสุด เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลหมดสภาพ ที่รู้เห็นเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่สามารถตอบโจทย์หรือบริหารจัดการใดๆ ได้เลย ขาดวิสัยทัศน์และนโยบายที่สำคัญ บริหารด้วยวาจา แก้ตัว โยนโทษให้ผู้อื่น และพยายามเหนี่ยวรั้งโอกาสสืบทอดอำนาจ ทั้งที่ตัวเองไร้ความรู้ความสามารถ
“พอท่านมาจากการยึดอำนาจ ท่านก็แปลงร่างตัวเองว่ามาจากประชาธิปไตย โดยใช้กลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ดี ทำกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็ดี สร้างกติกาที่เอื้อต่อการเข้าสู่อำนาจของท่าน แล้วอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ผลพวงคือเป็นประชาธิปไตยเพียงวาทกรรม หรือประชาธิปไตยรูปแบบจอมปลอม เอาไปอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น แต่พฤติการณ์พฤติกรรมที่ท่านกระทำอยู่ ยังคงใช้วิธีที่เราเรียกกันว่า อำนาจนิยม”
“พูดถึงลักษณะบุคคล ท่านมีบุคลิกภาพแปรปรวนแบบ narcissistic personality disorder หรือหลงตัวเอง ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว เราเห็นท่านนายกฯ เป็นอย่างนี้แล้ว เรายากจะไว้ใจให้ท่านบริหารงบประมาณได้”
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ประชาชนอยากให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มาจากการเลือกตั้ง มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เสียเอง เพราะเชื่อว่า ยิ่งสะท้อนถึงวิกฤตด้านภาวะผู้นำที่เห็นเด่นชัดขึ้นเหมือนเป็นคู่เทียบ เพราะเป็นนายกฯ ที่หาเงินไม่เก่ง ใช้เงินไม่เป็น อีกทั้งยังขาด empathy หรือความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ และได้สร้างมรดกหนี้อันยิ่งใหญ่ฝากไว้ให้ประชาชนอีกด้วย ไม่ว่าจะหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน หรือหนี้เสีย (NPL) ซึ่งจะต้องชดใช้เป็นถึงรุ่นลูกหลาน
“ท่านนายกฯ ต่างกับผู้ว่าฯ คนใหม่ราวฟ้ากับดิน ด้านโน้นมองบวกทุกอย่าง แต่ด้านนี้พร้อมจะบวกทุกอย่าง นี่สื่อเขาพูดกันนะครับ ไม่ใช่ผมพูดเอง”
นพ.ชลน่าน ชี้ว่า นายกรัฐมนตรีเป็นกองปัญหาของประเทศ การเปลี่ยนแปลงผู้นำจึงจะเป็นการพาประเทศพ้นวิกฤต หากสมาชิกเห็นตรงกันว่าควรเปลี่ยน ก็เพียงยกมือไม่รับหลักการเท่านั้นเอง ตนเชื่อว่านายกฯ จะมีสามัญสำนึกที่จะรับผิดชอบ คือไม่ยุบสภา ก็ลาออกจากตำแหน่งเสีย
สำหรับร่างงบประมาณฯ ที่เสนอมา แจ้งงบประมาณไม่ 3.185 ล้านล้านบาท แต่ตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ไว้เพียง 2.49 ล้านล้านบาทเท่านั้น ที่เหลือต้องกู้มา จึงเรียกได้ว่าเป็นงบประมาณแบบขาดดุล โดยได้กู้มา 6.95 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขดันเพดานเงินกู้แบบขาดดุล แต่ทำได้เนื่องจากลดงบประมาณในภาครายรับ ซึ่งแม้จะเหลือเพียง 2.49 ล้านล้านบาท ก็ยังไม่น่าเชื่อว่าจะจัดเก็บได้ถึงขั้นนั้น ซึ่งพรรคเสรีรวมไทยจะมาอภิปรายแจกแจงประเด็นนี้โดยละเอียด
นพ.ชลน่าน ระบุว่า นี่เป็นงบสิ้นหวัง เนื่องจากจัดสรรได้ไม่ตอบโจทย์กับสถานการณ์วิกฤตในปัจจุบัน และยังล้มเหลวในการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง คิดเพียงจะเอื้องบให้พวกพ้อง แต่ไม่ตอบสนองต่อปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ภาคธุรกิจขนดกลางและขนาดย่อม แทนที่จะได้รับการหนุนเสริมงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจกลับถูกตัดออก แล้วนำไปเพิ่มให้ด้านความมั่นคง แม้เม็ดเงินรวมจะลดลง แต่ได้มีการแฝงเร้นไปอยู่ตามหน่วยต่างๆ ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ที่ถูกเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบงบประมาณในกลุ่มที่ส่อเอื้อประโยชน์ หรือ งบฯ ส่อโกง เช่น เม็ดเงินที่ลงไปยังโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แต่ถูกจัดสรรประหนึ่งว่านายกฯ ถูกพรรคร่วมรัฐบาลเรียกค่าไถ่ เพื่อสืบทอดอำนาจไปยาวต่อไป นายกฯ ต้องไม่ปล่อยให้เขาเรียกค่าไถ่ อย่าคิดแต่พวกพ้อง แต่ต้องคิดถึงประชาชนด้วย งบเหล่านี้มีแนวโน้มจะกระจายลงไปในพื้นที่ เพื่อเรียกคะแนนเสียงในช่วงเลือกตั้ง และทำลายคู่แข่งด้วยงบประมาณ
“ใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นภาษีอากรของประชาชน มาใช้ในการสืบทอดอำนาจ มาเป็นงบเรียกค่าไถ่ ถ้าจะเรียกค่าไถ่กันเอง ท่านต้องหาจากอย่างอื่น อย่าเอาพี่น้องประชาชนไปรับบาปรับกรรมด้วย เราอนุญาตให้ท่านใช้งบประมาณนี้ไม่ได้จริงๆ”
นพ.ชลน่าน ยืนยันว่า ต้องการให้ร่างงบฯ นี้ตกไป ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขต่อในชั้นกรรมาธิการ เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ แม้จะแปรญัตติเพื่อให้ปรับลด ก็จะมีหลายฝ่ายขัดขวางให้นำไปใช้ได้ยากขึ้นอีก เราควรปล่อยให้งบประมาณฉบับนี้ตกไปพร้อมกับรัฐบาล เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลกันใหม่
“ถ้างบประมาณฉบับนี้ไม่ผ่านชั้นรับหลักการ ท่านจะเป็นผู้คืนความสุขให้กับพี่น้องประชาชน” นพ.ชลน่าน เน้นย้ำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง