ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวสรุปการอภิปรายเงินกู้ 500,000 ล้านบาทและการเตรียมยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า การประชุมการอภิปรายงบประมาณปี 2565 ที่เริ่มจากภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงถึงการจัดเก็บรายได้ในปีหน้า รวมจำนวน 3.10 ล้านล้านบาท ส่วนงบประมาณในปีนี้ สามารถจัดเก็บรายได้ จำนวน 3.30 ล้านล้านบาท และในสัปดาห์หน้าจะพิจารณาตั้งอนุกรรมาธิการ 8 คณะ เพื่อพิจารณาแผนงานพื้นฐานและยุทธศาสตร์ทั้ง 8 ด้าน

ยุทธพงศ์​ ยังกล่าวถึงการเปิดแฟนเพจเฟซบุ๊กของกองทัพเรือ เพื่อเปลี่ยนแนวความคิดของประชาชนที่มีต่อการจัดซื้อเรือดำน้ำ โดยมองว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำในขณะนี้ไม่มีความจำเป็น เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วยังมีการถกเถียงว่าจะซื้อเพิ่มอีก 2 ลำ จึงถอนเรื่องออกไป แต่มาปีนี้ เรื่องนี้ถูกพูดถึงอีกครั้ง จึงมองว่ายังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินแก้ไขเรื่องนี้ พร้อมกันนี้ ได้ท้ากองทัพเรือให้ทำโพลล์สำรวจความคิดเห็นของประชาชนว่าเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่

สำหรับการสรุปเรื่อง พ.ร.ก. เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ยุทธพงศ์ ระบุว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบไม่ตรงคำถาม ไม่ตอบในประเด็นสำคัญ เหมือนถามช้างแล้วตอบม้า ซ้ำยัง ข่มขู่ ส.ส. ในสภา ว่าพูดในสภามีเอกสิทธิ์แต่พูดข้างนอกให้ระวังตัวอีกด้วย ทั้งที่ พ.ร.ก.กู้เงินไม่มีรายละเอียดในการใช้เงิน เมื่อตรวจสอบไปย้อนไปถึงงบประมาณเก่าก็ยังใช้ไม่หมด แต่ยังมากู้เงินเพิ่ม จึงมองว่าการกู้เงินในครั้งนี้ไม่คุ้มค่า และนายกรัฐมนตรีสอบตกในการบริหารประเทศ

ส่วนการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่มีไม่เพียงพอต่อจำนวนความต้องการของประชาชน และการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด นอกจากนี้ ยุทธพงศ์ ยังเปิดเผยถึงท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยันยืนยันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยดำเนินการยื่นทั้งของแก้ทั้งฉบับ แต่จะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ส่วนที่แก้เป็นรายมาตราจะให้แก้ในหมวดที่ 3 แก้การปิดสวิตซ์ ส.ว. ส่วนรายละเอียดทั้งหมด พรุ่งนี้จะมีการประชุมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน 

เพื่อไทยพร้อมหากยุบสภา

ยุทธพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงกระแสข่าวการยุบสภาฯว่า พรรคเพื่อไทยมีความพร้อม หากยุบสภาเร็วก็พร้อมที่จะเลือกตั้ง โดยพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะได้ ส.ส.เพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมาเป็นพรรคอันดับ 1 ควรเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้ ส.ว.เลือกนายกฯ แต่หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ดังเช่นรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งพรรคเพื่อไทยเป็นแชมป์มาตลอด ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย เมื่อเป็นพรรคการเมืองอันดับ 1 ก็พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง