อาจกล่าวได้ว่า การเปิดศึกซักฟอกครั้งนี้ เป็นการ “เดิมพัน” ครั้งสำคัญของ “ฝ่ายค้าน” เพราะหากใช้โอกาสเปลือง อภิปรายไม่มีเนื้อ มีแต่น้ำ หรือ ใช้วาทกรรมการเมืองมากกว่าข้อมูลเชิงประจักษ์
นอกจากทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่อาจเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ได้ในยามที่ความนิยมดิ่งเหว ยังปิดโอกาสฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจไปถึงเดือน พ.ค. 2565 ซึ่งเป็นปีสมัยประชุมใหม่
เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติไว้แน่นหนาว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจให้ทำได้ปีสมัยประชุมละ 1 ครั้ง
ดังนั้น เที่ยวนี้เป็นไฟต์บังคับให้ฝ่ายค้านต้องดับเครื่องชน ขยี้ให้แหลก “ประเสริฐ จันทรรวงทอง”ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผู้ฝากรอยแผลทุจริตถุงมือยาง ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบเดือนกุมภาพันธ์ ประกาศความพร้อมในการยื่นซักฟอกรอบใหม่ว่า ในครั้งนี้จะเป็นการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลยที่ 1
และจะยื่นได้กลางเดือน ส.ค.นี้ เบื้องต้นมีรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายอย่างน้อย 5 คน โดยการอภิปรายในครั้งนี้มีข้อมูลเรื่องการบริหารงานที่ผิดพลาด ล้มเหลว ส่อไปทางทุจริต และมีหลักฐานชัดเจนเชื่อว่าจะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้
ขณะที่ “ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มือแฉรายสัปดาห์ ระบุชัดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ มีหลักฐานทุจริตชัดเจน เชื่อว่าถ้าเปิดเผยออกมาประชาชนจะรับไม่ได้ โดยเป็นข้อมูลที่เกี่ยวโยงเรื่องความมั่นคง มีหลักฐานมีลายเซ็นชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นกรณีงบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำที่รัฐบาลยอมถอย โดยข้อมูลทั้งหมดจะเชื่อมโยงกัน
เรื่องที่ พรรคเพื่อไทย เตรียมนำไปชำแหละรัฐบาลในสภา แน่นอนว่า อันดับแรกต้องเป็น “งบกองทัพ” ที่เปิดเผยมาตั้งแต่ไก่โห่ เช่น การจัดซื้อเรือดำน้ำ
“ยุทธพงศ์” อุ่นเครื่องเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำว่า ในการพิจารณาในชั้น อนุกมธ.ฯ พบความผิดปกติ ต่อการเล่นแร่แปรธาตุงบประมาณ เพราะการเสนองบประมาณเพื่อจ่ายค่างวดเรือดำน้ำ ลำที่1 พบจำนวนเสนอขอจำนวน 1,145 ล้านบาท ทั้งที่ในปี 2564 พบรายการที่เสนอขอต่อสภาฯ จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อชำระค่างวด ทั้งนี้ ขอตั้งข้อสังเกตว่า การเสนอของบประมาณ ที่ไม่ครบจำนวนดังกล่าว เพื่อต้องการใช้เงินเกือบ 900 ล้านบาท เพื่อตั้งหัวเชื้อจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ ลำที่ 3
สำหรับงบประมาณกองทัพบก พบความผิดปกติด้วย จากโครงการที่เสนอของบประมาณ 921 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 เพื่อทำโครงการจัดหายานยนต์สายสรรพวุฒิ แต่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ จากการจัดซื้อ ไปเป็นซ่อมรถเก่าที่มีอายุการใช้งานกว่า 40 ปี ราคาคันละ 2.5 ล้านบาทแทน แต่กรณีดังกล่าวผู้อำนวยการสำนักงบประมาณยังไม่ลงนาม และต้องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เนื่องจากเป็นงบประมาณผูกพัน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2566 อย่างไรก็ดีกรณีดังกล่าวสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เคยทักท้วงการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เพราะมองว่าหากจัดซื้อรถใหม่ จะมีราคาคันละไม่เกิน 4.2 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้อนุ กมธ.ฯ สอบถามรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณ แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังตามเก็บข้อมูลไว้ซักฟอก เช่น โครงการจัดหาอากาศยานไร้คนขับ ประจำฐานบินชายฝั่งจำนวน 4,100 ล้านบาท เป็นงบผูกพันจนถึงปีงบประมาณ 2568 โครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำ
มีการเสาะหาข้อมูล ทั้งลับ ทั้งแจ้ง เช่นการเจรจาจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 26 ล้านโดส และวัคซีนซิโนแวคทั้งหมด ที่ไม่มีการลบเลือนตัวอักษรสีดำ และ เอกสารสัญญาการจัดซื้อวัคซีนทางเลือกของประเทศไทย
ด้าน “รังสิมันต์ โรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลั่นวาจาว่าพรรคก้าวไกล พร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างลึกแน่นอน
หากจำได้ในปีที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลสามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ลึกมาก และหลายเรื่องรัฐบาลก็ตอบไม่ได้ ซึ่งรอบนี้ก็ไม่ต่างกัน ย้ำว่าการทำหน้าที่ของพรรคก้าวไกลยังเต็มที่อย่างแน่นอน
เพราะเราเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจมานาน ตั้งแต่จบการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา เราได้เตรียมข้อมูลมาโดยตลอด ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นต้องขอเก็บไว้ก่อน เชื่อว่าบางเรื่องประชาชนสามารถคาดการณ์ได้ว่าเป็นเรื่องไหน แต่หลายเรื่องที่จะมีการอภิปรายครั้งนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนไม่ทราบมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์ศึกซักฟอกที่ฝ่ายค้านดีเดย์ ยื่นญัตติในกลางเดือน ส.ค.นี้ มีความแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา
เพราะงวดนี้ฝ่ายค้าน ให้ประชาชน “มีส่วนร่วม” ในการส่ง “ข้อมูล” หลักฐานเชิงประจักษ์ต่างๆ มาที่พรรคฝ่ายค้าน
เป็นแคมเปญร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทั้ง เพื่อไทย ก้าวไกล ประชาชาติ เพื่อชาติ เสรีรวมไทย พลังปวงชนไทย เนื่องจากเล็งเห็นผลว่า “ข้าราชการ” ในยุครัฐบาลประยุทธ์ มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการ “ปลดแอก” แต่ไม่กล้า “แสดงตัว”
เนื่องจากมีหลักฐานเอกสารหลุดออกมาให้สังคมโซเชียลมีเดียเล่นงานรัฐบาลได้มากมาย แม้ที่สุดแล้วจำนวนเสียงในสภาไม่อาจโค่นล้มรัฐบาลได้ แต่หวังผลแรงกระเพื่อมไปสู่นอกสภาให้ร่วมเผด็จศึก
งานนี้ 6 พรรคฝ่ายค้าน เล็งเห็นผลว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของรัฐบาลประยุทธ์!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง