ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หญิงสาวร่างเล็กก็อยู่ในสายธารนี้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุที่เธอกับเพื่อนๆ ทำโพลล์ถามความเห็นการมีขบวนเสด็จ เธอถูกจองจำในทัณฑสถานหญิงกลางอยู่ 37 วัน ก่อนจะได้ประกันตัวออกมา 26 พฤษภาคม 2022 เป็น 37 วันที่เธออดอาหารจนร่างกายซูบผอมลงกว่าเดิม พร้อมกำไลข้อเท้าและเงื่อนไขพันธนาการอีกสามสี่ข้อ
วันที่เครื่องบันทึกเสียงเริ่มทำงาน เธออยู่ในวัยเพียง 20 ปี ชีวิตกว่าหนึ่งในสามอยู่กับรัฐบาลเผด็จการมา 8 ปีแล้ว เรคคอร์ดนี้ชวนเธอคุยตั้งแต่วัยเด็ก ครอบครัว เพื่อน ความรัก การต่อสู้ทั้งนอกคุกและในคุก
ออกมาวันแรกเข้าโรงพยาบาล มื้อแรกเป็นข้าวต้ม กับสามอย่าง หมูเค็มทอด ผัดเต้าหู้ ผัดผัก
ตอนอยู่ในเรือนจำ แรกๆ ที่อดยังไม่เท่าไหร่ มีหิวบ้าง แต่เพิ่งเข้ามาใหม่ๆ ใจยังสู้อยู่ กินน้ำกินนมไปปกติ พอหลายวันเข้า ใจเริ่มบ่นหิว เพราะตอนขึ้นห้องนอนเรือนจำ เขาชอบเปิดโทรทัศน์ รายการเชฟป้อม ‘ครัวชั้นสูง’ ให้ดู เราก็ได้แต่ทน (ยิ้ม)
โหยมาก มื้อแรกกินหมดเลย มันไม่ได้กินข้าวมานาน กินแต่นม พอเห็นกับข้าวโรงพยาบาลก็รีบแกะกินเลย แต่คุณหมอก็ให้กินพวกยาช่วยย่อยหรือยาอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย เพราะว่าเพิ่งอดอาหารมานานแล้วมากินทันทีก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ทีแรกไม่เคยคิดว่าจะได้เข้าด้วยซ้ำ เพราะดูสำนวนที่ตำรวจทำแล้วก็ไม่รู้สึกว่าจะมีอะไร ยังไม่ระบุเป็นความผิด แค่แอบทำใจไว้หน่อยนึง แต่พอต้องเข้าจริงๆ ก็งงนิดหน่อย เข้าก็เข้า คิดว่าจะอดอาหารเลย วันแรกมื้อแรกเป็นแกงเทโพ ถามพี่ที่เข้ามาพร้อมกันว่าเป็นไง เขาดูเหมือนกินไม่ได้ แต่เราตั้งใจที่จะอดอาหารอยู่แล้ว เราก็เลยบอกแม่บ้านผู้ต้องขังไปว่าเราจะอดอาหาร แล้วเขาก็เอานม น้ำผลไม้มาให้แทน ส่วนอาหารของเราก็แบ่งให้ผู้ต้องขังคนอื่นไป แรกๆ เขาก็อยากให้เรากินด้วย แต่เราบอกกินตามสบายเลยนะ เราจะอด อดเพื่อทวงคืนสิทธืการประกันตัว เราไม่ได้อดเพราะเราอยากตาย แต่เราอดเพราะเราต้องการอิสรภาพ
พอหลายวันเข้า เริ่มทรมาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชอบทรมานตัวเองไหม เวลานั่งกับเพื่อนตอนเพื่อนกิน เราก็มองเพื่อนกินไป มองช้อนเพื่อนเข้าปาก จินตนาการไปว่าตัวเองกำลังกินด้วย แล้วบอกเพื่อนขอดมหน่อยได้ไหม ขอดมนิดนึง ยิ่งเวลาดูนิตยสารอาหาร แง่นึงเหมือนเราได้ออกมาร้านอาหารข้างนอก พอปิดหนังสือปุ๊บกลับมาหิวเหมือนเดิม จากนั้นก็หน้ามืด มึนๆ จะเป็นลมตลอด วันนึงเป็นสองสามครั้ง บางวันหนักหน่อยก็หน้ามืดเป็นสิบครั้ง รู้สึกได้เลยว่าสมองเราทำงานช้าลงมาก หนังสือการเมืองที่อยู่ข้างในสมัยที่รุ้งอยู่ เราพยายามจะอ่านก็อ่านไม่รู้เรื่อง ตาลาย จนเลือดเริ่มออกตามไรฟัน
ช่วงวันท้ายๆ ก่อนจะออกมา เตรียมจะยกระดับเป็นกินแค่น้ำเปล่าด้วยเพราะเราคิดว่าวันศุกร์ที่ 20 เราไม่ได้ประกัน เลยบอกทนายไว้ว่าถ้าไม่ได้ประกันจะกินแต่น้ำเปล่าแต่พอเราคุยกับทนายเสร็จ คำสั่งศาลก็ยังไม่ออกสักที วันนั้นเราเลยเข้าใจว่าเราไม่ได้ประกัน วันถัดมาเราเลยจะยกระดับกินแต่น้ำเปล่าตามที่ตั้งใจไว้ แต่มีหมอประจำเรือนจำมาเจรจา
เขาบอกว่าวันนี้มีคุณหมอคนเดียวที่ดูแลผู้ต้องขังทั้งเรือนจำและเขาเครียดมากเพราะเป็นหมอใหม่ เลยอยากเจรจากับเราเพื่อให้เรากินนมต่อไปก่อนได้มั้ย เขาไม่อยากให้เราเป็นอะไรไป ตอนแรกเราก็บอกไม่ได้จริงๆ เพราะบอกทนายไว้แล้วว่าจะยกระดับเหลือแต่น้ำ แต่พอคุยไปคุยมาเราก็เป็นห่วงหมอและคนป่วยในเรือนจำ กลัวหมอจะต้องเสียเวลามาดูเราเยอะเกินเพราะคนไข้ทั้งเรือนจำก็เยอะ กลัวว่าถ้ามีผู้ต้องขังคนอื่นเขาเป็นอะไรหนักมากๆขึ้นมาแล้วหมอจะไปดูไม่ทัน แต่ยิ่งคุยก็ยิ่งทำให้เราเห็นถึงปัญหาในเรือนจำว่าบุคลากรทางการแพทย์ไม่พอ
พอเจรจากันเสร็จก็จบลงที่ว่าเราจะยังคงกินนมและน้ำต่อไป แต่จะลดจำนวนนมลง หลังจากลดจำนวนนมลงทำให้สภาพร่างกายเราย่ำแย่ลงมากจนแทบจะเดินไม่ไหวจนเพื่อนต้องช่วยเราพยุง พอวันจันทร์ไปหาหมอฟันเพราะเลือดออกตามไรฟัน หมอเขาก็ขอว่ารับปากได้ไหมว่าจะกินน้ำเปล่าวันละสามขวดขึ้นไป เราก็รับปาก หลังจากหาหมอฟันเสร็จ เราได้คุยกับทนายจึงได้รู้ว่าจะมีการไต่สวนประกันในวันที่ 26 เราจึงตัดสินใจที่จะเพิ่มจำนวนนมให้มากขึ้นเพื่อที่จะมีแรงถึงวันนั้น
มีทั้งคนเห็นด้วยและตั้งคำถาม หลายคนเข้ามาบอกเห็นด้วยกับเรานะ ให้กำลังใจนะ ต้องชื่นชมรุ้งไว้ตรงนี้ด้วย มีผู้ต้องขังเล่าว่าก่อนหน้านั้น ตอนรุ้งอยู่มีหลายอย่างถูกปรับเปลี่ยนไปมาก บางเรื่องที่เปลี่ยนไปก็ยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้ความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังดีขึ้นมาก
บางเรื่องดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่มาก เช่น เรื่องยางมัดผมสีดำ เขาบอกเป็นเพราะรุ้ง ผู้ต้องขังหญิงถึงได้ใช้ ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้ใช้แค่ยางรัดถุงแกงสีแดง
ส่วนที่ไม่เห็นด้วย มีแต่น้อย วันที่เราเดินออกมา ระหว่างเดินออกมาบางคนเขาก็มองเราแปลกๆ เขาพูดว่าออกไปก็ไปเรียนนะ บางคนเป็นห่วงเราว่าเสียงเราเล็กนิดเดียว พูดไปเขาก็ไม่ได้ยินหรอก รอให้เสียงคนใหญ่ๆ ออกมาพูดดีกว่าไหม เขาว่ามันไม่คุ้ม เราบอกว่า หนูเข้าใจว่าเสียงหนูเล็กมาก แต่ว่าถ้าสมมติเราต้องมานั่งรอให้เสียงใหญ่ๆ จะเมื่อไหร่ล่ะ ถึงจะมี เมื่อไหร่มันจะเปลี่ยนแปลง ต่อให้เสียงเราเล็ก แต่ถ้ามันมีเสียงเล็กๆ หลายเสียง เสียงมันก็ใหญ่ขึ้นเหมือนกันนะ เขาก็รับฟัง
ในคุกไม่มีมาตรงๆ แต่ถ้าข้างนอกมี ก่อนเข้าคุกไม่นาน วันที่ 6 เมษายน ตอนนั้นไปนั่งในจุดคัดกรองที่มีขบวนเสด็จ เราใส่เสื้อดำไป ตอนคุยโทรศัพท์ เขาคงเห็นที่หลังมือถือเราติดสติ๊กเกอร์ กูkult เขาก็ถือฝาลังโฟมเข้ามา แล้วพูดว่า “ไอ้นี่มันหมิ่นพระบรมฯ” แล้วเขาจะเอาฝาโฟมฟาด ถ้าไปดูคลิปของประชาไทจะเห็น
ตอนแรกเราพยายามจะคุยกับเขาดีๆ ก็เลยบอกไปว่า ชัดเจนนะคะว่าคนใส่เสื้อเหลือง คนที่บอกว่ารักเจ้า ทำแบบนี้นะคะ แล้วตำรวจก็อยู่ตรงนั้นด้วย ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงไม่รีบเข้ามาห้าม
บางทีเวลาไปทำกิจกรรมถือป้ายกับเพื่อนๆ จะมีคนเดินเข้ามาบอกว่า “ถ่ายรูปๆ ให้มันรู้ว่าไอ้พวกนี้มันพวกชั่ว ขอถ่ายรูปไปประจานมันก่อน” เราก็โอเคค่ะ ถ่ายเลยๆ
แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เข้ามาคุยกันดีๆ เพราะว่าเราพร้อมนั่งแลกเปลี่ยนความเห็นเต็มที่ สบายใจมากถ้าจะได้คุยกัน แต่กลายเป็นว่าเขาจะใช้ความรุนแรง หรือใช้คำพูดหยาบคายกับเรา มันไม่ถึงขั้นที่มองเขาแย่นะเพราะคนเราถูกปลูกฝังมาต่างกันและเขาอาจจะถูกปลูกฝังมาแบบนั้น
มีเซ็งที่ต้องเห็นเพื่อนๆ ข้างใน เพราะเรารู้สึกว่าคุกไม่ใช่ที่ของพวกเขา และก็ไม่ใช่ที่ของเราด้วย เรามีโอกาสได้เห็นเพื่อนๆ ตอนอยู่ข้างในบ้าง แต่ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะใบปอกับพี่บุ้งยังต้องกักตัวอยู่ ส่วนปฏิมาก็มีโบกมือทักทายกันบ้างแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกัน วันนี้เรากับปฏิมาได้ออกมาแล้วก็จริง แต่ใบปอกับพี่บุ้งยังอยู่ข้างในและยังมีนักโทษการเมืองอีกเยอะเลยที่ยังอยู่ข้างใน อยากให้พวกเขาได้ออกมาเร็วๆ ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของพวกเขาเลย
มีตอนออกมาใหม่ๆ ที่เซ็งบ้าง เห็นบางคอมเมนต์ในโซเชียลว่าทำไมเราออกมาแล้วหน้าผ่องจัง บอกว่าเราไม่ได้อดอาหารจริงๆ มีคอมเมนท์หนึ่งบอกว่าอดอาหารอะไรอ้วนอย่างกับอึ่งอ่าง ทั้งๆ ที่น้ำหนักเราลดไปประมาณ 5 กิโลฯ ได้ ผอมลงจนเห็นกระดูกไหปลาร้าชัด ก่อนเข้าไปตัดหน้าม้าเต่อ พอออกมาหน้าม้ามันก็ลงมาเป๊ะพอดี พอผอมปุ๊บมันก็มีวีเชฟเข้ารูปพอดี คนก็มาว่าเราอดอาหารจริงหรือเปล่า ไม่ได้อดแน่ๆ แต่ก็พยายามจะไม่สนใจคอมเมนต์แย่ๆ ไม่งั้นเราจะเสียเวลาไปนั่งนอยด์ว่าแบบไหนคุณถึงจะพอใจ
ต้องคลานออกมาหรือต้องออกมาเป็นศพเหรอคุณถึงจะเชื่อว่าเราอดอาหารจริงๆ ต้องบอกตามตรงว่านอยด์มากเพราะเราอดอาหารจริงๆและผ่านช่วงเวลานั้นมาจริงๆ แต่คุณไม่ได้ผ่านช่วงเวลานั้นมากับเรา แล้วทำไมคุณถึงได้ดูถูกเราแบบนี้ แต่เราก็พยายามสนใจคนที่เขาเป็นห่วงและให้กำลังใจเรามากกว่า
ค่อนข้างแข็งแรงนะ ตอนติดคุกก็มีช่วงดิ่งบ้าง แต่รีบเอาตัวเองขึ้นมาได้
แรกๆ คิดว่าไม่เป็นไรหรอก อยู่ได้ไม่มีปัญหา เข้าไปวันพุธ พฤหัสฯ ทนายมาเยี่ยม ศุกร์วิดีโอคอลกับศาล แล้วก็ติดเสาร์อาทิตย์ จนมาวันจันทร์ไม่มีทนายมาเยี่ยม เราหลอกตัวเองหรือว่าจะได้ออก ทนายเลยไม่ได้มาเยี่ยม กลายเป็นว่าวันนั้นจนถึงตอนกลางคืนก็ฟุ้งซ่าน ลุกขึ้นมาร้องไห้กลางดึก ร้องหนักมาก เพื่อนผู้ต้องขังก็เข้ามาปลอบ แล้วก็มีวันแรกที่พอเข้าห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วง่วงเลยนอน แต่พอนอนแล้วตื่นมามันดิ่งมาก เจ็บเหมือนเวลาเราอกหัก มันเจ็บแต่ไม่มีแผล ไม่รู้เจ็บอะไร ตื่นมานั่งแล้วทุบอกตัวเองเพราะมันเจ็บและหน่วงที่อกเลยพยายามทุบให้มันหายเจ็บหายหน่วง หลังจากนั้นเลยไม่กล้านอนเพราะกลัวว่าตื่นมาแล้วจะดิ่งอีก บอกไม่ถูก พยายามคิดว่าเดี๋ยวก็ได้ประกัน มันก็เป็นความหวังขึ้นมา
น่าจะช่วงที่หลังยุบพรรคอนาคตใหม่ แรกๆ ตามอ่านในโซเชียลมีเดียเราก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ ตอนนั้นเรียนอยู่ที่สิงคโปร์ เข้าใจแค่เรื่องรัฐบาลบริหารแย่ แต่กับเรื่องสถาบันกษัตริย์ยังไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้ต่อต้าน แค่งงว่าใช่เหรอ ถามตัวเองบ่อย จริงเหรอ พออ่านไปเรื่อยๆ มันเกิดคำถาม ทำไมภาษีประชาชนถึงไปลงที่งบสถาบันฯ เยอะขนาดนั้น
ไม่มีนะ แค่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจความผิดปกติมาก่อน เพราะตอนเด็กๆ ไม่ได้สนใจ แต่พอเริ่มได้อ่าน ได้ผ่านตา เริ่มเห็นปัญหาจริงๆ ทั้งที่อยู่ตามข้างทางหรือตามอะไรก็ตาม ถึงได้รู้ แต่ตอนเด็กๆ ไม่มีต้นทุนอะไรมาก่อนเลย
จริงๆ เป็นเด็กขี้อายมาตั้งนานแล้ว ไม่ค่อยกล้าพูด เป็นเด็กเงียบๆ เก็บความรู้สึก ไม่ร้องไห้ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่พอช่วงมัธยม เรียนภาค English Program ที่ห้องคนไม่เยอะ ครูเริ่มให้เด็กออกไปพูดหน้าห้อง ก็เริ่มกล้าแสดงออกมากขึ้น มันค่อยๆ ปรับตัวได้ พอไปเรียนที่สิงคโปร์ก็มีความกล้ามากขึ้น
เรียนการตลาด ตอนไปคิดอะไรไม่ออก ไม่ได้ชอบ แต่เพราะที่บ้านทำธุรกิจ เลยคิดว่าเผื่อได้เอามาใช้
ต้องสารภาพตรงๆ ว่าเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือมากๆ (หัวเราะ) บางทีเราอ่านหนังสือแล้วงง ต่อให้ไม่ได้อยู่ในคุก ไม่ได้อดอาหาร สมองยังทำงานปกติ ก็ไม่ชอบอ่านอยู่ดี ส่วนใหญ่ชอบดูคลิปมากกว่า น้อยมากที่จะอ่านหนังสือ ช่วงหลังๆ มาก็พยายามนะ แต่ก็ยังน้อยอยู่ดี
เพลงในม็อบฟังบ่อย เพลงวงสามัญชนฟังบ่อยมาก สมัยมัธยมก็ชอบฟังของแสตมป์ อภิวัชร์
มันค่อยๆ ซึมซับไปเรื่อยๆ เรื่องที่ฝังใจจริงๆ คงเป็นเรื่อง 6 ตุลาฯ ที่เราได้เห็นคลิป มันสะเทือนใจ โกรธมาก
เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อาจเพราะว่าเราเป็นมนุษย์ เห็นคนอื่นโดนกระทำ ต่อให้ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่มันรู้สึก พอเราเห็นว่ามันมีปัญหาก็รู้สึกว่าการนิ่งเฉยมันแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็เลยเลือกที่ทำอะไรสักอย่าง
2 ปี พอมีโควิด ก็กลับบ้านมาเรียนออนไลน์ แต่ออกแล้ว อยากเรียนต่อนิติศาสตร์แทน เรียนเอาไว้เคลื่อนไหว จะได้รู้กฎหมายด้วย เพราะการที่เราติดคุกมันยิ่งทวีความอยากจะเปลี่ยนแปลง อยากปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม รู้สึกว่าเราต้องเรียนให้หนัก ต้องมีสักหนทางแหละที่จะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทยได้
อย่างที่รู้กัน บ้านเมืองเขา กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ จะเข้มงวดมาก บ้านเมืองเขาเลยสะอาดและปลอดภัยมาก เราเรียนวิทยาลัยที่มีคนต่างชาติมาเรียนค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่จะมีเพื่อนต่างชาติหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว อินโดนีเซีย อินเดีย แต่คนสิงคโปร์เองก็มีแต่ไม่เยอะมาก
เพื่อนเราที่เป็นชาวสิงคโปร์เขาค่อนข้างจะมีหัวก้าวหน้า เข้าใจเรื่องสิทธิ และเปิดรับความเท่าเทียมทุกรูปแบบ ช่วงที่เราติดคุกก็มีเพื่อนต่างชาติหลายคน รวมถึงพี่ๆ คนไทยที่เรียนด้วยกันที่สิงคโปร์ฝากจดหมายมา
ถ้าถามว่าคนหนุ่มสาวที่สิงคโปร์เขาเป็นยังไงหรือมีความคิดยังไง จดหมายฉบับหนึ่งของเพื่อนที่เขียนมาหาเราเขาว่าแบบนี้
“Hello tawan! i hope you’re oke inside & doing well as of now. im proud that you’re becoming who you are now & fighting for the rights of people 🤍 I hope you continue fighting & get out asap!!!”
เราดีใจและมีกำลังใจมากที่เพื่อนเขียนจดหมายมาหาเรา อย่างที่เพื่อนบอกว่าเพื่อนภูมิใจในตัวเราที่เราออกมาสู้เพื่อสิทธิของผู้คน เราเองก็ภูมิใจในตัวเพื่อนเหมือนกันที่เข้าใจสิทธิตรงนี้
เราอาจจะไม่ได้มีเพื่อนสิงคโปร์ที่สนิทเยอะ แต่ส่วนใหญ่ที่เรารู้จักเขาล้วนเป็นคนที่หัวก้าวหน้าและเข้าใจถึงความเท่าเทียมและสิทธิของตนเองและคนอื่น
ไม่เลย ทีแรกแม่ไม่รู้เรื่อง ส่วนพ่อมีอยู่วันหนึ่งตอนที่เราตาสว่างเรียบร้อยแล้ว พ่อพูดประโยคหนึ่งว่า “เพิ่งรู้เหรอ” เราก็อ้าว แต่พ่อไม่ได้สนใจมาก เขาทำงานของเขาปกติ แค่เข้าใจปัญหา
ที่บ้านไม่เคยมีใครเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง หลังๆ พอเราออกไปทำกิจกรรม แม่เริ่มเป็นห่วงว่าจะโดนอะไรไหม เขาก็ตามดูข่าวปกติ
ตอนเด็กๆ ค่อนข้างสนิทนะ มีช่วงไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ตอนมัธยมเป็นเด็กเรียบร้อย เลิกเรียนถ้าไปเที่ยวห้างแป๊บเดียวก็รีบกลับบ้าน พอเริ่มโตขึ้นระดับหนึ่งเราก็มีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ไม่ค่อยคุยกันเท่าไหร่
ไม่เคย เขาแค่เป็นห่วงมากกว่า ช่วงแรกๆ ที่เราออกไปในฐานะมวลชน พ่อแม่ก็จะถามว่าอยู่ไหนแล้ว กลับบ้านหรือยังแค่นั้น จริงๆ เขารู้ว่าเราดื้อ แต่ไม่ได้ดื้อซี้ซั้วนะ สมมติเขาพูดมาแล้วเราคิดว่ามันไม่ใช่ก็จะดื้อ แต่ถ้าอันไหนที่เราเห็นว่าผิดจริงๆ ก็จะพยายามปรับปรุง
ตอนที่ไปม็อบช่วงแรกๆ ที่เจอแก๊สน้ำตา อีกวันต่อมาพ่อเขาก็พาไปซื้อหน้ากากกันแก๊ส เขารู้ว่าห้ามไม่ได้ก็ช่วยซัพพอร์ตในส่วนที่เขาทำได้
คงเพราะพ่อเขาเข้าใจอยู่แล้วว่าการเมืองไทยเป็นมายังไง เขารู้ว่าควรจะแก้ไข แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะออกหน้า ส่วนแม่คงมาเห็นทีหลัง เหมือนกับว่าเขาได้รับรู้ด้วยตัวเองว่ามีปัญหาอยู่จริงๆ เขาเข้าใจว่าเราทำเพราะอยากให้ประเทศพัฒนา มีอยู่วันหนึ่งที่ติดคุก ทนายกับแม่มาเยี่ยม แม่ก็พูดมาคำหนึ่งว่าดูแลรักษาสุขภาพดีๆ ออกมาก็มาสู้กับมันต่อ แปลว่าเขาเข้าใจ
เขาไม่ต้องออกไปกับเราก็ได้ ไม่ต้องไปยืนถือโพลล์กับเรา ไม่ต้องยืนบนเวทีกับเรา ขอแค่เขาเข้าใจก็เหมือนกับว่าเขาอยู่กับเราในทุกๆ ที่ แค่เขาไม่เคลือบแคลงใจก็ดีแล้ว เพราะเรารู้ว่ามีหลายบ้านที่เขามีปัญหากันหนัก พ่อแม่ลูกคุยกันไม่ได้
เรียนเก่งมาก แต่ไม่ได้เป็นคนสนใจเรื่องเรียนขนาดนั้น เหมือนเราเข้าใจอะไรง่าย เป็นคนหัวดี เรียนได้อันดับต้นๆ ตลอด
ชอบคณิต แต่หลังๆ มาก็เฉยๆ แล้ว
ไม่ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร คงเพราะมาอินกับเรื่องการเมืองด้วย ตอนนี้น่าจะชอบนิติศาสตร์ไหม ก็ไม่ถึงขั้นชอบ แต่รู้ว่ามันช่วยเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมได้
ไม่เลย ไม่มีความรู้สึกว่าจะกลับไปแก้ไขอดีตอะไร ต่อให้มีทางเลือกว่าถ้าเราไม่อออกมาเคลื่อนไหวแล้วชีวิตเราจะดีกว่านี้นะ ไม่ถูกคุกคาม ไม่ถูกดำเนินคดี ใช้ชีวิตสบาย ก็ยังเลือกจะทำแบบเดิม
ตอนนั้นนั่งดูไลฟ์สดอยู่บ้าน เพนกวินกับไมค์ถูกควบคุมตัวอยู่ในรถตำรวจ เพราะโดนอายัดตัวต่อ เขาโดนทำร้าย แล้วเขาตะโกนว่าหายใจไม่ออก เราทำอะไรไม่ได้ จะขับรถออกไป ก็ขับไม่เป็น ไม่รู้จะช่วยยังไง แต่โกรธมาก จากนั้นเลยไปสมัครเป็นการ์ดเลยของ We Volunteer ช่วยเท่าที่ทำได้
วันที่รุ้งไปยื่นจดหมายถึงสำนักพระราชวัง ตรงสนามหลวง ที่ตำรวจฉีดน้ำใส่แล้วอ้างว่ามือลั่น ตอนนั้นยังอยู่ข้างหลังไม่ค่อยโดนอะไร แต่โดนเต็มๆ คือ 17 พฤศจิกาฯ ที่หน้ารัฐสภา แยกเกียกกาย วันนั้นกินข้าวไปน้อยมาก เป็นประจำเดือนด้วย แต่ลุยกันตั้งแต่บ่ายสองจนถึงสองทุ่ม
วันนั้นทำหน้าที่หิ้วน้ำไปข้างหน้า พอเขายิงแก๊สน้ำตามาก็เทดับ
ไม่ ตอนนั้นคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก มีคนเอาหน้ากากมาให้ใส่ได้แป๊บนึง พอเห็นคุณลุงคนหนึ่งสำลักควันไม่ไหวแล้ว ก็เลยถอดให้เขา เราเลยอยู่ในสภาพไม่มีอะไรเลย มีแค่น้ำ วิ่งช่วยคนเจ็บเท่าที่ช่วยได้
จริงๆ ชอบเรื่องศิลปะการต่อสู้มาก แต่ว่าสู้ไม่เป็นนะ แค่ชอบดูในยูทูบ พวกที่เขาสอนป้องกันตัวเวลาถูกแทง ถูกโจมตีจากข้างหลัง พวกเทควันโดก็ชอบ เลยเลือกเป็นการ์ด
ไม่เลย ไม่ได้เตะต่อยกับใครเลย แต่มีเหตุการณ์หนึ่ง ตอนนั้นไม่ได้ไปในฐานะการ์ด ม็อบที่หน้า ตชด. มีสาดสีด้วย วันนั้นตำรวจดันเข้ามา เราไม่รู้จะทำอะไร ก็ถีบโล่สู้เขาอยู่อย่างนั้น พอเขาอัดเรามา ตั้งสติได้ว่าต้องถีบอย่างเดียว มันท้าอัตโนมัติไปเลย แต่ไม่ได้โดนตัวเขานะ ถีบที่โล่เพื่อไม่ให้เขาเข้ามาหาเรา
อีกเหตุการณ์ 7 สิงหาคม ม็อบดินแดง ใกล้จะมีทะลุแก๊สแล้ว วันนั้นมีคนโดนตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ เราแว๊นมอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อน ตอนขี่หนีตำรวจ คฝ. รถไปเกยเกาะกลางแล้วล้ม คฝ.วิ่งเข้ามาจับแขนเราบิดแทบจะหักเลย เขามากันเป็นสิบคน เท้าเขาอยู่ตรงหน้าเรา เราก็ถีบลูกเดียว คิดแค่เอาตัวรอด ไม่เคยโมโหแล้วเข้าไปฟาดเขา
รู้สึกว่าเราใช้โควตาครบแล้ว โควตามี 2 ระดับ โดน 112 ก่อนจะโดนก็ถามตัวเองว่าคุ้มไหม ต่อมาติดคุก เงื่อนไขมันจะหนักขึ้น พอมองย้อนกลับไปถามมันคุ้มไหม คุ้ม
ตอนโดน 112 จากเรื่องทำโพลล์ขบวนเสด็จกับไปไลฟ์สดม็อบชาวนาต้องย้ายที่เพราะขบวนเสด็จ ทั้งสองงานรู้สึกว่าคุ้มที่มีคนเห็นปัญหา ทำไมม็อบชาวนาต้องถูกย้าย คนหันมาสนใจม็อบชาวนามากขึ้น แม้ไม่ได้มากมาย แต่ก็มีคนเข้าใจมากขึ้น เรื่องโพลล์ก็มีคนพูดถึงประสบการณ์ที่ตัวเองเจอมากขึ้น รู้สึกว่าเราตีประเด็นแตกแล้ว ถือว่าคุ้มค่าแล้ว มากกว่านั้นคือคนตั้งคำถามนะว่า ทำไมเราต้องโดน 112 เพราะว่ามันไม่ยุติธรรม
คำว่าคุ้มของเราเป็นเพราะเป้าหมายของเราคือกลุ่มคนที่คิดเห็นตรงข้ามกับเราและกลุ่มไทยเฉย การที่พวกเขาได้รับรู้กิจกรรมของเราและได้รับรู้ว่าเราโดน 112 และรู้สึกว่าสิ่งที่เราโดนมันไม่ยุติธรรมและได้เข้าใจว่า 112 มันมีปัญหาจริงๆ นั่นแหละคือคุ้มสำหรับเราแล้ว
พูดตามตรงว่ากิจกรรมที่ทำไป ไม่ได้ประเมินว่าจะโดน 112 ด้วยซ้ำ เพราะว่าคิดมาแล้วว่าจะออกแบบกิจกรรมยังไงเพื่อไม่ให้โดน 112 ลองนึกภาพสิ แค่ทำโพลล์มันจะโดน 112 ได้ยังไง แต่พอโดนปุ๊บก็ประเมินอีกรอบ อ่านสำนวนตำรวจเรียบร้อย ไม่ติดคุกแน่นอน แต่เราลืมคิดไปว่าประเทศนี้มันเหี้ย
ไม่ถึงขั้นเชียร์ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มีวันนั้น ไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย แต่ก็พูดกับตัวเองตลอดว่าถ้ามีวันนั้นจริงๆ เราก็จะออกไปให้ช่วยให้ได้มากที่สุด วันหนึ่งจะต้องตายก็ต้องตาย
เหมือนอย่างที่ดินแดง เราเข้าใจพวกเขา เพียงแต่เราแค่ไม่อยากเห็นพวกเขาต้องเจ็บตัวหรือโดนทำร้าย ไม่อยากให้เกิดความสูญเสียเพราะมันเจ็บปวดและโกรธแค้น แต่ในเมื่อพวกเขาออกไปสู้ เราก็อยากจะช่วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก่อนเราไปม็อบดินแดงบ่อยมาก
ถามว่ามีไหม ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็มีบ้าง เกิดมาแล้วก็อยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด แต่เราไม่รู้ว่าบ้านเมืองมันต้องผ่านอะไรอีกบ้างกว่าจะถึงวันที่เราได้เอ็นจอยกับชีวิตจริงๆ
เรื่องเดียวกัน เราคิดเสมอ ความรักที่ปิดหูปิดตา รักแบบไม่ฟังอะไร มันก็เป็นปัญหาแบบที่พวกเราเจออยู่ทุกวันนี้ หลายๆ อย่างที่มันเป็นปัญหาก็เพราะรักกันมากเกินไป รักโดยที่ต่อให้ตัวเองเจ็บก็ยังรัก ไม่มีจะกินแล้วก็ยังรัก จะโดนไล่ที่ก็ยังรัก จริงๆ คุณจะยังรักอยู่ก็ได้ ไม่เป็นไร ขอแค่ฟังบ้างว่ามันมีปัญหาอะไรอยู่
เราจะรักใครต้องถามต้องสงสัยได้ จะเป็นเพื่อนหรือคนรักก็ตาม ต้องวิจารณ์ได้ เธอทำแบบนี้ทำไม ต้องคุยกันได้
ยังไม่เคยเจอ ถ้าเจอจริงๆ คงไม่เอาเหมือนกัน เราทำขนาดนี้ อย่างน้อยคุณช่วยเห็นว่าปัญหาที่มีเป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม แค่นั้นก็โอเคแล้ว ถ้านิ่งเฉยคงไม่เอาเหมือนกัน อยู่ด้วยกันมันไม่มีประโยชน์
ก็นั่งคุยกันก่อนว่าทำไม ถ้าคุณไม่โอเคกับสิ่งที่เราทำจริงๆ จะเลิกก็เลิก แต่อยู่แล้วคุณโอเคกับสิ่งที่เราทำ ก็อยู่
ถ้าประนีประนอมแล้วบอกว่าห้ามออก หรือให้เบาลงได้ไหม มันประนีประนอมไม่ได้จริงๆ เพราะสุดท้ายเราก็ ยังทำแบบเดิมอยู่ดี มันสู้ไปขนาดนี้แล้ว ไม่ถอยกลับแล้ว
ชอบนะ รู้สึกว่าไม่กลัวอะไรแล้วจริงๆ ก่อนติดคุกก็จะมีอารมณ์แบบถ้าติดคุกจะเป็นยังไงวะ จะโอเคไหม พอตอนนี้กลายเป็นว่าไม่เหลืออะไรให้กลัวแล้ว กลัวแค่ว่าคนอื่นจะเดือดร้อนกับเราแค่นั้นเอง เช่น เราก็ต้องคำนึงถึงนายประกันไว้ก่อน ถ้าตัวเองเดือดร้อนคนเดียวก็ไม่มีปัญหา
ใช่ ต้องพูดอย่างนั้นแหละ ทุกคนที่เราเจอดีกับเราเลยทำให้เป็นคนสุขภาพจิตแข็งแรง
ถ้ามองในมุมของเรามันไม่ได้แผ่ว แต่ถ้ามองในมุมของศาล รัฐบาล เขาคงมองว่าเราแผ่ว เพราะเราทำอะไรไม่ได้ แต่เขาคงไม่รู้ว่าต่อให้เขาจะทำอะไร จะมีเงื่อนไขอะไรมา การต่อสู้มันหยุดไม่ได้ กลับยิ่งรู้สึกว่าเราเข้มแข็งขึ้นด้วยซ้ำ
ถ้ารัฐบาลบริหารประเทศไม่ดี ต่อให้มาจากฝั่งประชาธิปไตย ก็จะยังมีคนจากฝั่งประชาธิปไตยออกไปสู้เหมือนตอนนี้อยู่ดี หรือต่อให้รัฐบาลมาจากฝั่งประชาธิปไตย แต่ต้นตอของปัญหายังคงอยู่ ยังคงมีคนโดน 112 ยังคงมีคนโดนจำกัดอิสรภาพในการพูด ก็จะยังคงมีคนออกมาต่อสู้แบบทุกวันนี้อยู่ดี
ส่วนตัวเรามองถึงจุดอ่อนเรื่องกระแสทางสังคมที่มันเริ่มเบาลง เพราะคนเริ่มพูดถึงปัญหากันน้อยลง ทั้งๆ ที่ปัญหามันยังไม่ถูกแก้ไข เราอยากให้ทุกคนช่วยกันเรียกร้องกันจนสุดทาง เพราะเรามองว่าทุกปัญหาเป็นเรื่องของทุกคน และก็ไม่อยากให้เงียบกัน
ขอแค่อย่าเงียบ ช่วยกันโพสต์ช่วยกันแชร์หรืออะไรก็ได้ ช่วยกันเรียกร้องจนกว่าปัญหามันจะถูกแก้ไขจริงๆ
ส่วนตัวรู้สึกว่ามันไม่ได้มากไป มันเป็นสิ่งที่ควรจะได้อยู่แล้ว ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องมากไป ตราบใดที่ปัญหายังไม่ถูกแก้ ถ้าประเทศนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เราก็รู้สึกว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ไม่นะ แต่เข้าใจคนที่เขาอยากย้ายประเทศ เพราะประเทศนี้มันแย่จริงๆ ถ้าเขาได้ไปประเทศอื่นแล้วคุณภาพชีวิตเขาดีขึ้นก็ดีแล้ว ถ้าประเทศนี้มันน่าอยู่จริงๆ เราจะไม่ต้องมานั่งคิดว่าย้ายประเทศดีกว่า
ภาพ : ปฏิภัทร จันทร์ทอง