ท่ามกลางการประชุมของผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 อันประกอบไปด้วย สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี แคนาดา และญี่ปุ่น พร้อมกับตัวแทนจากสมาชิกของสหภาพยุโรปที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 มิ.ย. 2564 ณ เมืองคอร์นวอลล์ของอังกฤษ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำกรุงลอนดอนแถลงว่า "ยุคที่การตัดสินใจระดับโลกเกิดขึ้นจากการสั่งการของกลุ่มประเทศเล็กๆ นั้นได้หมดสิ้นไปนานมากแล้ว"

ถ้อยคำดังกล่าวเป็นท่าทีที่เกิดขึ้นจากทางการจีน ระหว่างการประชุม G7 ซึ่งนอกจากสมาชิกทั้ง 7 ประเทศแล้ว ก็ยังมี อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) เข้าร่วมการประชุมในวันที่ 12 มิ.ย. และผู้แทนของประเทศอินเดีย ที่เข้าร่วมการประชุมผ่าทางระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ โดยคำแถลงของโฆษกสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำกรุงลอนดอน ถือเป็นคำเตือนไปยังกลุ่มผู้นำโลก 'สายประชาธิปไตย' โดยตรง

"เราเชื่อเสมอว่าประเทศ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ จนหรือรวย ต่างก็เท่าเทียมกันทั้งนั้น และกิจการของโลกควรเป็นเรื่องที่ถูกรับมือด้วยการปรึกษากันของทุกประเทศ"

การอุบัติขึ้นอีกครั้งของอิทธิพลจีนแผ่นดินใหญ่กำลังถูกจับตาและขนานนามว่าเป็นหนึ่งในภูมิศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน ไม่ต่างกับปรากฏการณ์การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 2534 ที่ทำให้สงครามเย็นยุติลง หนึ่งในเป้าประสงค์ของการประชุมสุดยอด G7 ที่กำลังเกิดขึ้นคือการค้นหาวิธีตอบสนองไปยังความมั่นใจของรัฐบาลสีจิ้นผิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เมื่ออำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว

รายงานระบุว่า การประชุมที่เกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย. นำโดย จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เป็นการประชุมในประเด็นการรับมือกับรัฐบาลจีน โดยทรูโดได้เรียกร้องให้บรรนาผู้นำและผู้แทนประเทศที่เข้าร่วมการประชุมร่วมกันคิดหาวิธีที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการรับมือกับความท้าทายที่รัฐบาลจีนสร้างขึ้น มีการวางแผนที่จะเสนอโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานให้กับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เพื่อเป็นคู่แข่งกับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือ Belt and Road Initiative ของจีน