วันที่ 17 ก.พ. 2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเรื่องด่วนญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 10 คน เป็นวันที่สอง ไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม บริหารงานด้านเศรษฐกิจล้มเหลว ทำให้ประชาชนตกอยู่ในสภาพความยากจนซ้ำซาก คนส่วนใหญ่อยู่อย่างยากลำบากสาหัส เป็นรัฐบาลที่มีการกู้เงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ประสิทธิภาพการใช้เงินต่ำ ก่อให้เกิดคนตกงานจำนวนมาก การส่งออกติดลบ ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศ ก่อหนี้สาธารณะสูงเกินกรอบวินัยการเงินการคลัง จะเป็นภาระของลูกหลานในอนาคต หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไป จะทำเกิดหายนะต่อประเทศอย่างสูง
ไชยา กล่าวว่า สิ่งที่สามารถยืนยันความล้มเหลวในการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ คือตัวเลขทางเศรษฐกิจ ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ ADB ประมาณการว่า เศรษฐกิจไทยหนักสุด ติดลบ 8 เปอร์เซ็นต์ ต่ำสุดในอาเซียน , IMF ประเมินว่า ไทยจะเจริญเติบโตแค่ 2.7 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าทุกประเทศในอาเซียน , ธนาคารโลก วิเคาะห์ว่า ปี 2564 ประเทศไทยจะเผชิญกับภาวะถดถอยหนักสุดในภูมิภาค จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่จีดีพี จะติดลบ 8.3 เปอร์เซ็นต์ , นิเคอิ มองว่า เราจะอยู่ในภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจไปอีก 10 ปีข้างหน้า
ไชยา กล่าวว่า ล่าสุด สภาพัฒน์พยากรณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะโต 3 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่คาดว่าจะโต 4 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า ไม่มีทางที่เศรษฐกิจไทยจะโตอย่างที่สภาพัฒน์ประมาณการไว้ เพราะเครื่องยนต์ด้านเศรษฐกิจทุกตัวต่างดับสนิท และแม้รัฐบาลจะอัดเงินเข้าสู่ระบบ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นแต่อย่างใด
เพื่อไทย ชี้ รบ.ประยุทธ์ นับแต่ยึดอำนาจจัดเก็บรายได้ต่ำ บี้นายกฯ ลาออกเป็นภาระ
ไชยา กล่าวว่า นับแต่ปี 2555-2557 มีการจัดงบประมาณชดเชยการขาดดุลที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปี 2558 – 2564 พบว่าการรัฐบาลทำงบขาดดุลที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2564 งบขาดดุล 6 แสนล้านบาท นั่นหมายความว่า เงินไม่ได้กระจายในระบบ การใช้จ่ายงบประมาณไม่มีสิทธิภาพ การจัดเก็บรายได้ล้มเหลว เพราะปัญหาคือ นับแต่ปี 2557 ที่มีรัฐประหาร ทำให้ประเทศไทย ไม่เป็นประชาธิปไตย ส่งผลต่อเศรษฐกิจ มีการใช้งบประมาณเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ไม่มีความจำเป็น
ไชยา กล่าวว่า นับแต่ปี 2557 รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดปี 2563 ต่ำกว่าประมาณการ 336,924 ล้านบาท แม้ประเทศไทยจะเจอสถานการ์โควิด-19 แต่ก็มีการชดเชยเยียวยาประชาชน นั่นหมายความว่ามาตรการเยียวยาดังกล่าว ไม่มีสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ปี 2563 มีการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณทะลุเพดานถึง 784,115 ล้านบาท เกินกว่าที่สภารับทราบ เพราะมีการขออนุมัติจากสภาเพียง 469,000 ล้านบาท แต่ที่เหลือ 214,093 ล้านบาท หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งว่า เป็นงบขาดดุลเหลื่อมปีงบประมาณปี 2562 โดยอ้าง พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ 2548 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2561 ให้อำนาจการอนุมัติของ ครม. โดยไม่แจ้งให้สภารับทราบ ดังนั้น จึงขอกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ว่านายกฯทำผิดกฎหมาย ที่กู้เงินเกินกว่าที่แจ้งต่อสภา
“ถ้าไม่ใช้คำถามพังพินาศ จะใช้คำว่าอะไร หนี้จะตกเป็นภาระของประชาชน พอได้แล้ว อยู่ไปก็เป็นภาระของประเทศ ท่านควรเสียสละด้วยการลาออกจากนายกรัฐมนตรี ผมไม่อาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศอีกต่อไป” ไชยา ระบุ
'วิโรจน์' ชำแหละ 'ประยุทธ์-อนุทิน' จัดการวัคซีนช้า ศก.เสียหายเดือนละ 2.5 แสนล้าน
จากนั้น วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่ผิดพลาด กระจุกความหวังของประชาชนไว้เพียงเจ้าเดียว ขาดความโปร่งใส ขัดขวางกลไกการตรวจสอบ ทำให้การฉีดวัคซีนล่าช้า เศรษฐกิจเสียหายเดือนละ 2 แสน 5 หมื่นล้านบาท ทุกๆ วันประเทศชาติเสียหายเป็นมูลค่า 8,300 ล้านบาท คิดเป็นชั่วโมงละ 347 ล้านบาท ยิ่งล่าช้าก็ยิ่งเป็นความผิดฉกรรจ์ นี่คือความผิดที่นายกรัฐมนตรี และ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะปฏิเสธความรับผิดชอบกับความเสียหายนี้ไม่ได้
“ยังไม่นับพฤติกรรมท้าทายเอาชีวิตของประชาชนไปล้อเล่นของ อนุทิน เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2563 พูดออกมาได้อย่างไรว่า โควิด-19 กระจอกงอกง่อย แต่พูดออกมาแล้วก็ดีประชาชนจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่กระจอก และคนที่กระจอกที่สุดก็คือ อนุทินคนนี้ ผมต้องขอโทษเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่อาจต้องใส่แมสก์ 2 ชั้น เพราะอีกสักพักอาจมีกลิ่นหนูตายคลุ้งสภา”
ส.ส.ภูมิใจไทยรุกป้อง 'อนุทิน'
วิโรจน์ ย้ำว่าทั้ง 2 คนรู้ดีว่าต้นเหตุ เกิดจากการปล่อยปละละเลย ทั้งบ่อนการพนัน และปัญหาการลักลอบของแรงงานต่างชาติ จนการแพร่ระบาดโควิดลุกลามบานปลาย รัฐบาลต้องประกาศพื้นที่แดงเข้มควบคุมสูงสุด กระทบกับปากท้องและการดำเนินชีวิตของประชาชน นักเรียนไม่ได้เรียนหนังสือ ประสบความทุกข์ยากและยังไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ซึ่งโควิด-19 ไม่ใช่แค่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ แต่กระทบกับคนไทย 67 ล้านคนที่เดือดร้อนกันทั้งหย่อมหญ้า “พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ และลูกน้องที่ชื่ออนุทิน ชาญวีรกูล ไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอหรอฮะ ”
โดยระหว่างการอภิปราย สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย ได้ลุกขึ้นประท้วง ว่าเป็นการอภิปรายในลักษณะส่อเสียด ซึ่งส่วนตัวเคารพว่าอาจมีเนื้อหามีมากพอสมควร แต่ขออย่าใช้การอภิปรายที่ส่อเสียด เพราะ ไม่ใช่การเมืองรุ่นใหม่ ซึ่งน ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้วินิจฉัย บอกว่า ได้ฟังการอภิปราย มีคำเดียวที่จะเตือน คือ อย่าใช้คำว่ากระจอกไปเทียบกับตัวบุคคลเพราะไม่เหมาะสม
อัดนายกฯ พูดเท็จ ไทยฉีดวัคซีนอันดับแรกปี 64
จากนั้น วิโรจน์ ได้อภิปรายต่อ ตอกย้ำว่านายกรัฐมนตรี และ อนุทิน จะอ้างว่าไม่รู้ถึงความสำคัญของวัคซีน ต่อเศรษฐกิจไม่ได้ เพราะเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2563 อนุทิน ทำหนังสือกระทรวงสาธารณสุข ถึงนายกรัฐมนตรี ของบกลางสนับสนุนให้กับสถาบันวัคซีนฯ 1 พันล้านบาท ว่า “การมีวัคซีนเร็วขึ้น 1 เดือน จะช่วยทำให้ประชาชนสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประมาณ 2 แสน 5 หมื่นล้านบาท นี่เป็นหลักฐานว่าการฉีดวัคซีนต้องทำให้เร็วและครอบคลุมทั่วประเทศ” ดังนั้นยิ่งฉีดช้าก็ยิ่งสร้างผลกระทบกับประชาชน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าไทยจะฉีดวัคซีนเป็นอันดับแรกของโลกในปี 64 แต่ทุกวันนี้เป็นอย่างไร พูดเท็จหรือพูดจริงกับคำพูดของนายกรัฐมนตรีและ อนุทิน จึงเป็นคำถามว่าไทยจะเริ่มต้นฉีดเข็มแรกได้เมื่อไหร่ เพราะประเทศในอาเซียน ทั้งสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา และลาว ดำเนินการฉีดให้กับประชาชนกันหมดแล้ว
สับเละไร้วิสัยทัศน์ จัดหาล่าช้า ชี้สัญญาแล้วทำไม่ได้ ไล่ให้ไล่ออก
วิโรจน์ ตอกย้ำถึงการทำงานเช้าชามเย็นชาม ไร้วิสัยทัศน์กับแผนงานที่ล่าช้า กระจุกความเสี่ยงไว้กับไม่กี่บริษัท จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่าที่ อนุทิน ประกาศว่าจะฉีดเดือนละ 10 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ครบ 63 ล้านโดสภายในปี 2564 ว่าได้เตรียมการรองรับไว้พร้อมหรือไม่ อยากให้ชี้แจงโดยละเอียด เพราะที่ผ่านมามีพฤติกรรมกลับกลอกเชื่อไม่ได้อยู่แล้ว และขอถามนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา กล้าเชื่อหรือไม่ ถ้าเชื่อทั้งคู่ ก็ให้สัญญากลางสภา เพราะถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปทั้งหัวหน้าและลูกน้อง
จวกใช้ 'ซิโนแวค' ได้ผล 50% จวกโครงการวัคซีน ครึ่งหนึ่งรอด-ครึ่งหนึ่งตาย
ส.ส.พรรคก้าวไกล ยังกล่าวถึงการตัดสินใจเลือกซื้อวัคซีนซิโนแวคจากจีนมาแก้ขัด ด้วยงบประมาณ 1,228 ล้านบาท ทำไมไม่เลือกซื้อจากซิโนฟาร์ม ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเดียวกันและขึ้นทะเบียนใช้งานทั่วไปแล้ว และผลการทดลองเฟส 3 พบว่ามีประสิทธิภาพสูงถึง 86% ถือเป็นวัคซีนหลักที่จีนใช้ฉีดให้กับประชาชน แต่ นายกฯ กลับเลือกซื้อวัคซีนซิโนแวค ที่ปรากฎเป็นข่าวมีกลุ่มทุนรายหนึ่งเข้าไปลงทุนด้วยเม็ดเงิน 1 หมื่น 5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นวัคซีนที่มีผลทดลองในประเทศบราซิล มีประสิทธิภาพเพียง 50.4%
“ผมจึงต้องถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่านี่เป็นการนำเงินภาษีไปทำโครงการวัคซีนคนละครึ่งหรือไม่ คือ ครึ่งหนึ่งรอด-ครึ่งหนึ่งตาย”
วิโรจน์ ระบุว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุด เกี่ยวกับ โครงการโคแวกซ์ ที่ไทยเสียโอกาส ซึ่ง อนุทิน แถลงว่าการที่ไทยไม่เข้าร่วม เพราะไทยเป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง แต่ก็มีคำถามทันที ว่าทำไมประเทศชั้นนำหลายประเทศกว่า 172 ประเทศถึงเข้าร่วม ทั้ง อาเซียน สหภาพยุโรป หรือ สหรัฐอเมริกา อะไรที่ดลใจให้ใจกล้านำคนไทยไปกระจุกความเสี่ยงกับบริษัทแอสตราเซเนกายี่ห้อเดียว ที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน โดยดำเนินการผ่านบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ของไทย แต่กลับปิดบังข้อมูลทั้งที่ใช้เงินภาษีสนับสนุนกว่า 600 ล้านบาท ฟ้องคนที่ออกมาตั้งคำถามปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้
ทั้งนี้ระหว่างการอภิปราย ได้มี ส.ส.ฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะ ทั้ง ประเด็นการใช้คำเสียดสี และ ท้วงติงเรื่องข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งชวน หลีกภัย ได้วินิจฉัยว่า ทั้งนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน สามารถชี้แจงในประเด็นที่ถูกพาดพิงได้
'ประยุทธ์' โต้ 'ก้าวไกล' ย้ำไทยคุมโควิดได้ดีกว่าชาติอื่น
เวลา 14.20 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงหลังการอภิปรายของ วิโรจน์ ลักคณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล โดยยืนยันว่า มีข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เพราะตัวเองไม่ใช่นักโต้วาที ซึ่งการบริหารจัดการเศรษฐกิจและโควิด ตนเองทราบดีว่าประชาชนเดือดร้อนและอาจจะรู้มากกว่าทุกคนเพราะตนเองมีข้อมูลมากอยู่แล้ว พร้อมย้ำว่า ตนเองไม่มีอำนาจสั่งทั้งหมด แต่ต้องฟังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งแพทย์และศูนย์บริการสถานการณ์โควิค รวมถึงคณะทำงานเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและรักษาตลอดจนการนำวัคซีนเข้ามาให้ได้เร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ถ้าเปรียบเทียบกับสถานการณ์โลกประเทศไทยสามารถทำได้ดีกว่าหลายประเทศและพยายามทำให้ดีขึ้น พร้อมเชื่อว่าทุกอย่าง หากได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็ววัน
ไม่ยันวัคซีนฉีดได้ผล 100% เตือนโยงการเมือง ระวังต้นทางไม่ส่งวัคซีนมีเรื่องกัน
ส่วนการฉีดวัคซีน ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะได้ผล 100% หรือไม่ แต่ชี้แจงว่า เป็นการฉีดแบบฉุกเฉินไม่ใช่การฉีดแบบไข้หวัดใหญ่ทั่วไป สิ่งสำคัญที่สุด คือชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละเพื่อส่วนรวม และสปิริทของคนไทย ที่ร่วมกันสวมใส่หน้ากากอนามัย พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้นั่งนอนเฉยๆ และทำงานเช้าชามเย็นชาม
นายกรัฐมนตรี ยังกังวลว่า "หากพูดถึงวัคซีนมากๆจะกลายเป็นปัญหาว่าต้นทางจะส่งมาหรือไม่ จึงขอให้ระมัดระวังและรับผิดชอบหากกลายมาเป็นปัญหา พร้อมทั้ง ขออย่าโยงเป็นเรื่องการเมืองจนมีปัญหาและจำคำพูดตัวเองไว้ด้วย หากต้นทางไม่ส่งวัคซีนมาให้เพราะเป็นสาเหตุมาจากเรื่องการอภิปรายในสภาครั้งนี้ "ก็ต้องมีเรื่องกัน" จึงขอร้องว่าอะไรที่จะทำให้เป็นปัญหาก็อย่าพูดอีกเลย
“ผมกังวลพูดวัคซีนมากๆจะมีปัญหา เพราะเขาไม่ต้องการให้วัคซีนเป็นเรื่องการเมือง ระวังรับผิดชอบด้วย จำคำพูดด้วย ถ้าเขาไม่ให้ตามนี้สาเหตุตามนี้มีเรื่อง”
พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า อะไรที่เกิดปัญหาขอร้องอย่าพูดอีกเลย สิ่งสำคัญที่สุดแต่ตนอาจทำได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เรื่องไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศช่วงโควิด
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตนเองทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อาจจะไม่ถูกใจใครและเชื่อว่าอาจจะทำได้ดีกว่านี้หากไม่มีภาระอย่างอื่นข้างนอก โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิด
"คนที่พูดเป็นเรื่องง่าย แต่ทำเองไม่ง่าย แม้จะพูดเร็ว ดูดีดูเก่ง ขอให้มาทำดูเองจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเลือกวัคซีน ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศ"
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า วันนี้ได้รับข้อมูลมาว่าประชาชนคนไทยอยากฉีดวัคซีน 80% และมีอีก 10% ที่ไม่อยากฉีด ส่วนอีก 10% คือคนที่ลังเลและไม่แน่ใจว่าผู้อภิปรายนั้นอยู่ในกลุ่มที่ไม่อยากฉีดหรือลังเลหรือไม่
'อนุทิน' ซัด 'วิโรจน์' โกหกคำโต
ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ชี้แจงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 และการกระจายวัคซีนเพื่อกระจายความเสี่ยง ว่า ในตอนแรกจะชี้แจงข้อมูลทีเดียว เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด แต่เมื่อได้ยินคำว่าแต่เมื่อได้ยินคำว่า "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" และคนที่เข้าสมบัตินี้ได้ใช้สภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติกล่าวโกหกคำโต เพื่อให้เกิดความสับสน ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงแทนที่จะมาปลอบให้กำลังใจซึ่งกันและกันแต่กลับนำข้อมูลจากโซเชียลมีเดียที่ไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ในสภาและถ่ายทอดไปยังประชาชนทั้งประเทศ
จึงขอแก้ในสิ่งที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล "โกหก มหากาพย์วัคซีน จะชำแหละรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข" ที่กล่าวว่าเป็นคนที่น่าเกียจอยู่ใกล้ๆ ก็ยังไม่อยากจะอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อตะกี้เจอกันที่หน้าห้องน้ำ กราบแทบถึงอกตนเอง จึงถามว่า ทำไมต้องมาว่ากันเช่นนี้เราไม่ได้เกลียดกันและไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ถ้าตนเองพูดบ้างว่าขึ้นมาบนนี้ต้องเอาสเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดที่เนคไท จะรู้สึกอย่างไร
ยันวัคซีนเข้าตามกำหนด แจงมีโควิดนึกถึงแต่วัคซีน
อนุทิน ยืนยันว่า ทันตามกำหนดเวลา และจะนำไปฉีดให้กับคนไทยจนครบถ้วน ส่วนที่บอกว่าตนเองมีความล่าช้า เออระเหยลอยชายกับเรื่องวัคซีนนั้น ขอให้ทราบว่า ตั้งแต่มีโควิดเข้ามาในสมอง คำต่อไปที่คิดก็คือวัคซีน มันเป็นเหตุผลที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 3 พันล้านบาท ให้ไปดำเนินการทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นร่วมมือหรือศึกษา หรือแม้แต่การจัดซื้อหากมีความจำเป็นและได้รับการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรีที่จะต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่ใช่เพียงแค่วัคซีน แต่รวมถึงเรื่องยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ด้วย พร้อมถามว่า บริษัทแอสตรา เซเนกา เชื่อถือไม่ได้หรือไม่ ใครฉีดไปก็อันตรายนั้น ยืนยันว่า ผู้ผลิตได้เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนให้กับอาเซียน ซึ่งเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีตามข้อตกลงไม่เกี่ยวกับรัฐบาลเพราะเป็นบริษัทที่สามารถผลิตชีววัตถุที่มีความคงที่ที่ดีที่สุดและที่สำคัญจะต้องมีการจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนครอบคลุมทั่วถึงไม่ทิ้งใครไม่เบื้องหลังและในเวลาที่เหมาะสม
อนุทิน ระบุว่า ทำไมไม่ชื่นชมระบบสาธารณสุขของไทย ที่เป็นเดียวในภูมิภาคนี้ที่มีวัคซีนถึง 3 ล้านโดส เพียงพอและครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง แล้วไม่ต้องกังวลว่าจะนำวัคซีนไปเก็บไว้ที่ไหนเพราะไม่พอเก็บ เนื่องจากได้มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และขออย่าไปพูดดูหมิ่นหรือบั่นทอนกำลังใจคนทำงานไม่ใช้วาจาสามหาว พูดในเรื่องที่มันไม่เกี่ยวข้องกับวาระที่อภิปราย อย่างที่ผู้อภิปรายบอกว่า "กลิ่นหนูตาย" ซึ่งเน่าพอๆ กันกับกลิ่นปากเหม็น แต่เชื่อว่า ตนเองทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองและประชาชนได้มากกว่าเอาไว้ให้ท่านได้มีโอกาสเข้ามาก่อนแล้วค่อยมาพิสูจน์กัน
ส่วนที่ระบุว่ามี 2 คนที่น่ารังเกียจไม่ควรเข้าใกล้ไม่ควรแม้กระทั่งเข้ากระทรวงสาธารณสุข ได้ต้องติดป้ายห้าม อนุทิน ขอให้รู้เอาไว้ว่า 2 คนนี้ เป็นคนที่ทำให้ทำให้ อสม.เข้มแข็งขึ้น และอสม.เป็นอย่างดี ทำให้มีโครงการ 3 หมอ ทำให้อสม.ทุกคนเป็นหมอ ทำให้ระบบสาธารณสุข ได้มีการพัฒนาและมีประสิทธิภาพ พร้อมยังเปิดคลินิกบริการผู้สูงอายุ เพราะประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และยังได้จัดหาเครื่องฉายรังสี ถึง 7 เครื่องให้บริการผู้ป่วยมะเร็งทั่วประเทศไทย ที่ไม่ต้องลำบากเดินทางเข้าคิวและได้รักษาทันเวลา ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง