ไม่พบผลการค้นหา
ก.ล.ต. กล่าวโทษ 4 ผู้บริหาร เค.ซี พร็อพเพอร์ตี้ ต่อดีเอสไอ ฐานทุจริตยักยอกเงินบริษัทจากการขายตั๋วแลกเงินระยะสั้น 425 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเองและพวก หมดโอกาสนั่งตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมส่งข้อมูล ปปง. เหตุมีพฤติกรรมเข้าข่ายฐานฟอกเงิน

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เผยแพร่ประกาศกล่าวโทษผู้บริหารและอดีตผู้บริหารบริษัท เค.ซี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) 4 ราย ได้แก่ นายภัทรภพ อิทธิสัญญากร (เปลี่ยนชื่อเป็นนายกฤติภัทร), นายสรรชัย อินทรอักษร, นายธีราสิทธิ์ แสงเงิน และ นายกิติสาร มุขดี รวมพวกอีก 3 ราย ได้แก่ นายเทพทิวา บุตรพรม, นางสาวจรูญลักษณ์ คงคาเรียน (เปลี่ยนชื่อเป็น นางสาวนิษฐา) และนายวีรวัฒน์ สุขวราห์ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีร่วมกันทุจริต ยักยอกเงินที่ได้จากการออกและเสนอขายตั๋วแลกเงินระยะสั้น หรือ B/E ในนามบริษัท เพื่อประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่น แสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้ และยินยอมให้ไม่มีการลงบันทึกบัญชีการขายตั๋ว B/E ทำให้บริษัทลงบัญชีไม่ถูกต้อง ไม่ตรงต่อความเป็นจริง

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากผู้สอบบัญชีของ KC และต่อมา ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงเดือนกันยายน 2558 - ตุลาคม 2559 ผู้บริหาร KC ร่วมกับผู้สนับสนุน รวม 7 ราย ได้กระทำทุจริต ยักยอกเงินที่ได้จากการขายตั๋ว B/E ของบริษัทรวม 25 ฉบับ มูลค่ารวมประมาณ 425 ล้านบาท ไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของบุคคลอื่น

โดยการดำเนินการดังกล่าว นายภัทรภพ (หรือนายกฤติภัทร) อิทธิสัญญากร ซึ่งในขณะนั้นทำหน้าที่รักษาการกรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหาร และนายสรรชัย ซึ่งทำหน้าที่ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหาร ได้ร่วมกันทุจริต โดยดำเนินการให้ KC ออกตั๋วเงิน 25 ฉบับ มีมูลค่าฉบับละ 25 - 150 ล้านบาท และได้ยักยอกเงินดังกล่าว ผ่านการปลอมแปลงเอกสารการประชุมของบริษัท และร่วมกันเปิดบัญชีธนาคารเพื่อใช้รับโอนเงินค่าขายตั๋ว B/E ปกปิดไม่ให้มีการลงบันทึกบัญชีการขายตั๋ว B/E ดังกล่าวในบัญชีของบริษัท และปกปิดอำพรางการทุจริตโดยการต่ออายุตั๋ว B/E หลายครั้ง

พร้อมกันนี้ การกระทำดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจาก นายเทพทิวา ซึ่งรู้จักกับนายภัทรภพ และนายสรรชัย โดยนายเทพทิวาให้การช่วยเหลือโดยการยอมให้ใช้บัญชีธนาคารของตนเองเพื่อทำธุรกรรมรับโอนเงินที่ได้จากการขายตั๋ว B/E ทั้งหมด เพื่อแจกจ่ายให้บุคคลอื่น ได้แก่ นางสาวจรูญลักษณ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขานุการของคณะกรรมการบริษัท ให้ความช่วยเหลือในการทำธุรกรรมทางเงินบางรายการ โดยใช้บัญชีธนาคารของตนเอง และ นายวีรวัฒน์ ซึ่งรู้จักและชักชวนบุคคลหลายรายเข้ามาเป็นกรรมการและผู้บริหารของ KC ได้แก่ นายภัทรภพ นายสรรชัย นายธีราสิทธิ์ และนายกิติสาร โดยเชื่อว่านายวีรวัฒน์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำทุจริตและการรับเงินบางส่วนจากการขายตั๋ว B/E ดังกล่าว

อีกทั้ง ก.ล.ต. ยังพบว่า ในช่วงปี 2559 นายธีราสิทธิ์ และ นายกิติสาร ซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการตามลำดับ ทราบถึงการออกตั๋ว B/E แต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบและซื่อสัตย์สุจริต ไม่นำรายการตั๋ว B/E ลงบันทึกบัญชีของบริษัททำให้บัญชีของ KC ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงต่อความเป็นจริง 

การกระทำของผู้บริหาร KC และพวกรวม 7 ราย ข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดกฎหมาย โดยนายภัทรภพ (ปัจจุบันชื่อนายกฤติภัทร) อิทธิสัญญากร และนายสรรชัย อินทรอักษร เข้าข่ายไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 89/7 โดยทุจริต ซึ่งมีระวางโทษตามมาตรา 281/2 วรรคสอง มาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 และมาตรา 312 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยมีนายเทพทิวา บุตรพรม, นางสาวจรูญลักษณ์ (ปัจจุบันชื่อนางสาวนิษฐา) คงคาเรียน และนายวีรวัฒน์ สุขวราห์ ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการกระทำผิด เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 และมาตรา 312 ประกอบมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ แล้วแต่กรณี  

ส่วนนายธีราสิทธิ์ แสงเงิน และ นายกิติสาร มุขดี เข้าข่ายไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 89/7 โดยทุจริต ซึ่งมีระวางโทษตามมาตรา 281/2 วรรคสอง และมาตรา 312 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 7 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้บริหารและอดีตผู้บริหาร ได้แก่ นายภัทรภพ, นายสรรชัย, นายธีราสิทธิ์ และ นายกิติสาร เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตามประกาศ ก.ล.ต. จึงไม่สามารถเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนได้ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ  

อีกทั้ง การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานแห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดังนั้น ก.ล.ต. จึงส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของ DSI การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรมตามลำดับ

KC-crop.JPG

อย่างไรก็ดี ตามข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. พบว่า บมจ. เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ หรือ KC เป็นบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนออกจากหลักทรัพย์ที่จดทะเบียน โดยมีนายกฤติภัทร (เดิมชื่อภัทรภพ) อิทธิสัญญากร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง ในสัดส่วน 35.68% และเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา นายกิติสาร มุขดี กรรมการและกรรมการผู้จัดการ คนปัจจุบันได้ส่งหนังสือชี้แจงแก่ ตลท. เรื่อง การจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น โดยขอสงวนสิทธิการนับระยะเวลาจัดประชุม และขอไม่จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น โดยอ้างตามข้อกำหนดในมาตรา 100 แห่ง พ.ร.บ. บริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 เนื่องจากนายกฤติภัทร อิทธิสัญญากร ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังไม่ชี้แจงข้อมูลตามที่บริษัทขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมภายในระยะเวลา 7 วัน