ไม่พบผลการค้นหา
'สมพงษ์' แจงพ.ร.บ.งบ ไม่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ เพิ่มงบประมาณความมั่นคง ไม่ช่วยเรื่องการกินดีอยู่ดีของประชาชน ย้อน พล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับไปเขียนร่างใหม่ แนะลดงบกองทัพ เพิ่มงบพัฒนาเศรษฐกิจ ลั่นไม่ขอโหวตรับร่าง พ.ร.บ.นี้

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุถึงการแถลงงบประมาณของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่า ตนฟังแล้วมีความซาบซึ้ง เพราะต้องการเห็นบ้านเมืองให้เจริญรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีคำถามกลับไปยังนายกรัฐมนตรีทำไมเมื่อ 5 ปีที่แล้วพลเอกประยุทธ์ไม่ทำอะไรเลย พร้อมทั้งอยากให้ทั้งทางฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลให้ตระหนักถึงความสำคัญของการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน 

เพราะขณะนี้ประชาชนกำลังประสบปัญหากับภาวะเศรษฐกิจอย่างยากลำบาก แม้ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ผ่านอำนาจโดยทั่วไป แต่ก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลนี้มีปัญหาในด้านความชอบธรรม ซึ่งอาจสังเกตได้จากการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ และการแถลงนโยบายไม่ได้อธิบายถึงแหล่งที่มาของงบประมาณ และไม่ได้แสดงถึงความคุ้มค่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกเหนือจากการไม่ได้บรรจุลงในคำแถลงการณ์ แต่ปัญหาเหล่านี้ก็คงจะติดตามรัฐบาลไปตลอด

แล้วจากการวิเคราะห์และพิจารณางบประมาณที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมาและส่งมาให้อย่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ตนขอเรียนว่าฝ่ายค้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งตน อยากฝากไปยังรัฐบาลว่าตนอยากให้รัฐบาลนำพ.ร.บ. งบประมาณที่เสนอมาวันนี้กลับไปร่างใหม่ เนื่องจากงบประมาณฉบับนี้ไม่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง และไม่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะวิกฤต

เพราะในระบบเศรษฐกิจหากพิจารณาในภาพใหญ่ องค์ประกอบของการขับเคลื่อนหลัก ที่ถือเป็นฟันเฟืองหลักของระบบเศรษฐกิจประกอบด้วยกัน 4 ด้าน ได้แก่ การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุนและค่าใช้จ่ายของภาครัฐ 

โดยนายสมพงษ์ยังตั้งคำถามว่า ทำไมงบประมาณที่กำลังจะอภิปรายมีความสำคัญต่อประเทศ ประมาณประจำปีหรืองบประมาณต่างๆ ที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ หากงบประมาณมีความเหมาะสมทั้งยอดและงบประมาณต่างๆ จัดสรรให้หน่วยงานด้วยความยุติธรรมก็ย่อมสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศ

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยขณะนี้มีประมาณ 17 ล้านล้านบาท ส่วนยอดรวมงบประมาณที่ได้กำหนดในวันนี้คือ 3.2 ล้านล้านบาท จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นปัจจัยสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องนำไปพิจารณาควบคู่กับสามหลักการที่กล่าวในข้างต้น 

อีกทั้งในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมางบของกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งในปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 6 พันกว่าล้านบาท รายจ่ายเหล่านี้ไม่ได้สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน ซึ่งประชาชนขณะนี้เสียภาษี ทั้งๆ ที่ลำบากอยู่ แต่กลับทุ่มเทไปด้านความมั่นคงและกลาโหม ซึ่งไม่ถือเป็นความจำเป็น เพราะประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่ หากใช้งบไปอย่างมีประสิทธิภาพเศรษฐกิจก็จะทำให้การประชาชนจับจ่ายใช้สอยและจัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ หัวหห้นาพรรคเพื่อไทย ระบุทิ้งท้ายว่า การจะแจกเงินที่ผ่านมา เป็นการแจกเงินอย่างสิ้นคิด การแจกโดยไม่ยึดโยงกับการพัฒนาประสิทธิภาพและการปรับแผนในการทำธุรกิจเป็นเพียงการยืดปัญหาออกไป พอเงินหมดปัญหาก็กลับมาใหม่ และด้วยเหตุผลทั้งหมดทำให้ตนไม่สามารถเห็นชอบพ.ร.บฉบับนี้ได้

อ่านเพิ่มเติม