ไม่พบผลการค้นหา
ครม.เคาะแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ปี 64 ยึดวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เน้นลงทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประเทศ ให้กลับมาเติบโตหลังโควิด-19

อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยคณะรัฐมนตรีรับทราบและอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2564 ที่ได้วางเป้าหมายหลักสำคัญ 2 ส่วน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลสังคมจากที่ได้ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งสนับสนุนลงทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้ประเทศมีศักยภาพสามารถเติบโตหลังสิ้นสุดสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้การยึดวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด 

แผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ 2564 ประกอบด้วย

1.แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม 1,465,438.61 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการกู้เพื่อลงทุนในโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ สร้างความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร เป็นต้น 

2.แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงินรวม 1,279,446.80 ล้านบาท เป็นการปรับโครงสร้างและบริหารความเสี่ยงหนี้เดิมของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ 

3.แผนการชำระหนี้ วงเงินรวม 387,354.84 ล้านบาท ประกอบด้วย แผนการชำระหนี้ของรัฐบาลและหนี้หน่วยงานของรัฐจากงบประมาณรายจ่าย วงเงิน 293,454.32 ล้านบาท แบ่งเป็นชำระต้นเงินกู้ 99,000.00 ล้านบาท และชำระดอกเบี้ย 194,454.32 ล้านบาท และแผนการชำระหนี้จากแหล่งเงินอื่น วงเงิน 93,900.52 ล้านบาท เช่น ชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นตัน 

โดยมีประมาณการหนี้สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ 57.23% ไม่เกิน 60% ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะในระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2564-2568 ให้สอดคล้องกับความต้องการกู้เงินของหน่วยงานภาครัฐ รองรับความผันผวนของตลาดการเงิน เพื่อให้หนี้สาธารณะอยู่ในกรอบต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วย 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยถึง รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อเศรษฐกิจประเทศเดิหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติเช่นเดียวกับทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งไทยด้วย โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับทุกหน่วยรับงบประมาณ ให้คำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรัดกุมให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย