ไม่พบผลการค้นหา
เวียดนามเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ดูจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดี ซึ่งสื่อต่างประเทศชี้ว่าปัจจัยความสำเร็จมาจาการจัดการเชิงรุกแม้มีทรัพยากรจำกัด โดยให้ความสำคัญต่อการกักตัวและติดตามผู้สัมผัสโรค

เว็บไซต์ Financial Times ระบุว่าในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่กำลังฉลองเทศกาลเต๊ด หรือปีใหม่ของเวียดนาม นายกรัฐมนตรี 'เหงียน ซวน ฟุก' ของเวียดนามก็กำลังประชุมรัฐมนตรีเพื่อประกาศสงครามกับไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดอยู่ในจีน โดยช่วงปลายเดือนมกราคม ผู้นำเวียดนามได้เตือนว่าการติดเชื้ออาจมาถึงเวียดนามในเร็วๆนี้และการต่อสู้กับการระบาดก็คือการต่อสู้กับศัตรู

ในขณะที่การ 'ตรวจมาก-พบมาก' คือปัจจัยความสำเร็จในการคุมโรคของเกาหลีใต้ แต่เวียดนามซึ่งร่ำรวยน้อยกว่า มีทรัพยากรที่จำกัดมากกว่าให้ความสำคัญกับการแยกผู้ติดเชื้อออกมา และติดตามหาผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ติดเชื้อเป็นทอดที่สองและสาม

โดย 'นายเจิ่น ดัค ฟู' เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอาวุโสซึ่งเป็นที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินของเวียดนามกล่าวว่า Mass Testing หรือการพยายามค้นหาผู้ที่มีเชื้อให้ได้มากที่สุดนั้นเป็นเรื่องดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับทรัพยากรของแต่ละประเทศ สิ่งสำคัญคือ เราจำเป็นต้องรู้จำนวนของคนที่อาจสัมผัสกับโรค หรือเดินทางกลับจากพื้นที่ระบาดใหญ่ จากนั้นก็ตรวจหาเชื้อคนเหล่านี้ โดยนอกจากมาตรการเข้มข้นในการสืบหาผู้ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อแล้ว มาตรการของพรรคคอมมิวนิสต์ยังรวมถึงการบังคับให้กักตัว และเกณฑ์นักเรียนแพทย์ รวมถึงแพทย์และพยาบาลที่เกษียณไปแล้วมาร่วมสู้โควิด-19 อีกด้วย

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามได้ออกคำสั่งให้ทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศต้องถูกกักตัว 14 วัน และยกเลิกเที่ยวบินต่างประเทศทั้งหมด 'นายเจิ่น ดัค ฟู' ระบุว่าทางการได้ระดมทุกภาคส่วนของสังคมมาเต็มความสามารถเพื่อต่อสู้กับไวรัสร่วมกัน เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการหาผู้ติดเชื้อให้เจอตั้งแต่ต้นและแยกผู้ติดเชื้อออกมา ล่าสุด เวียดนามมีผู้ติดเชื้อในประเทศ 123 ราย และยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต โดยจนถึงวันที่ 20 มี.ค. เวียดนามได้ทำการตรวจหาเชื้อประชาชนไปแล้ว 15,637 ราย ถือเป็นจำนวนที่ห่างไกลจากเกาหลีใต้ซึ่งมีการตรวจหาเชื้อไปมากถึง 338,000 ราย  

Financial Times ยังระบุว่าในขณะที่ประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการตรวจหาเชื้อจำกัด จำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่รายงานมาก แต่การตอบสนองของเวียดนามยังคงน่าประทับใจ โดยเวียดนามสั่งระงับเที่ยวบินทั้งขาไปและมาจากจีนเมื่อวันที่ 1 ก.พ. โรงเรียนใน 2 เมืองใหญ่ของเวียดนามอย่างกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ และเกือบทุกจังหวัดถูกสั่งให้ยังคงปิดการเรียนการสอนหลังเทศกาลตรุษญวน เมื่อวันที่ 13 ก.พ. เวียดนามเป็นประเทศแรกต่อจากจีนที่ปิดพื้นที่อยู่อาศัยเป็นวงกว้าง โดยบังคับใช้มาตรการควบคุมโรค 21 วัน ในบางพื้นที่ของจังหวัดหวิญฟุก ทางตอนเหนือของกรุงฮานอยซึ่งมีประชากรกว่า 10,000 คน หลังพบผู้ติดเชื้อที่มีประวัติกลับจากการทำงานที่เมืองอู่ฮั่น และในขณะที่เพื่อนบ้านอาเซียนอย่างไทยกำลังถูกวิจารณ์ถึงมาตรการตอบสนองที่ไร้ทิศทาง

ส่วนเมียนมาที่อ้างว่าประเทศปลอดจากโควิด-19 มาตลอดก็เพิ่งยืนยันพบผู้ติดเชื้อ 2 รายแรก การตอบสนองต่อโรคระบาดครั้งนี้ของเวียดนามได้รับเสียงชื่นชมจากผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำกรุงฮานอยถึงมาตรการเชิงรุกและการตอบสนองอย่างคงเส้นคงวา

รัฐบาลเวียดนามอาจเรียนรู้ความผิดพลาดจากจีน 

Financial Times ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลเวียดนามดูจะมีความโปร่งใสในการรับมือไวรัสระบาดครั้งนี้ ตรงข้ามจากวิกฤตการณ์อื่นๆ เช่นเหตุการณ์สารเคมีรั่วไหลเมื่อปี 2559 ที่สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน โดยในการต่อสู้กับโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามได้ส่งข้อความทั้งข่าวที่เกี่ยวกับไวรัสและเคล็ดลับดูแลสุขภาพไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนอยู่เป็นประจำ ผลสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ของ 'นีลเสน เวียดนาม' บริษัทวิจัยการตลาดพบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่มีความเข้าใจอย่างสูงถึงอาการต่างๆของโควิด-19 ขณะที่ความพยายามของรัฐบาลในการต่อสู้การระบาดของโควิด-19 ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนโดยการวัดจากโพสต์ต่างๆบนโซเชียลมีเดียที่ให้กำลังใจบุคลากรการแพทย์ และมีมสไตล์โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อที่เป็นไวรัลบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีข้อความว่าการ “การอยู่บ้านคือการรักประเทศชาติ” 

ส่วนบทความจากเว็บไซต์ The Diplomat มองว่าในฐานะประเทศที่ปกครองด้วยพรรคการเมืองพรรคเดียว เวียดนามมีสถาบันทางการเมืองค่อนข้างคล้ายจีน แต่ที่ผ่านมาเวียดนามก็ถูกมองว่ามีความเปิดกว้างกว่ามากในเรื่องการเซ็นเซอร์สื่อและการควบคุมข้อมูล ประชาชนในเวียดนามสามารถใช้สื่อโซเชียลมีเดียเกือบทุกอย่างที่มีอยู่ โดยเฉพาะเฟซบุ๊คที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางและเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการแชร์ข้อมูล เช่นเดียวกับแสดงความเห็นวิจารณ์นโยบายรัฐบาลทั้งทางตรงและทางอ้อม

ในขณะที่สื่อจีนช้าเรื่องการเปิดเผยความความเสี่ยงและข้อมูลเกี่ยวกับโรคปอดอักเสบปริศนาในเมืองอู่ฮั่น แต่ข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับสถิติโรคดังกล่าวจากจีนในช่วงแรกของการระบาด ได้ถูกเปิดเผยต่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเวียดนามจนทำให้เกิดความตระหนักในการป้องกันตัวมากขึ้น นักวิชาการบางคนถูกวิจารณ์หนักเมื่อเสนอว่าหน้ากากอนามัยไม่จำเป็น หรือไวรัสโคโรนาไม่อันตรายเท่าไข้หวัดตามฤดูกาลในสหรัฐฯ ซึ่งการตอบสนองเหล่านี้แสดงให้รัฐบาลเวียดนามเห็นถึงพลังของโซเชียลเน็ตเวิร์ก 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามดูจะยอมรับว่าการปิดกั้นข้อมูลแบบจีนมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง จึงคงความโปร่งใสในเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 เช่นเดียวกับอนุญาตให้ข้อมูลที่ไม่จำกัดเผยแพร่บนเฟซบุ๊ค 

อย่างไรก็ตาม วิธีการบางอย่างของเวียดนามก็เข้มงวด ผู้ที่ถูกพบว่าแชร์ “ข่าวปลอม” เกี่ยวกับไวรัสดังกล่าวจะถูกตำรวจเรียกสอบปากคำและมีประมาณ 800 คนแล้วที่โดนลงโทษปรับ ขณะที่เครือข่ายผู้แจ้งข้อมูลแห่งชาติของเวียดนามได้ช่วยในการติดตามผู้ติดเชื้อ ซึ่งหัวหน้าหน่วยงานโรคติดเชื้อที่โรงพยาบาลเด็กนครโฮจิมินห์เผยว่า เพื่อนบ้านจะรู้ถ้าเราเดินทางกลับมาจากต่างประเทศและหากมีผู้ติดเชื้อสักคนในพื้นที่พวกเขาก็จะรายงาน

ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาลเวียดนามระบุว่า รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างที่เคร่งครัดและเหมาะสมเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส และจนถึงวันนี้เวียดนามก็ยังคงมีอัตราผู้ติดเชื้อต่ำและไม่มีผู้เสียชีวิต